Money In Stocks - ออมเงินในหุ้น

วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2554

แคลเซียม ของคนต่างวัย



แคลเซียม กับความต้องการของคนต่างวัย


เชื่อว่าทุกคนคงรู้ถึงคุณประโยชน์ของ แคลเซียม เป็นอย่างดีแล้ว ว่ามีผลดีต่อร่างกายทช่วยให้กระดูกแข็งแรง และเมื่อเร็วๆนี้มีงานวิจัยที่พบว่าแคลเซียมสามารถช่วยต่อต้านได้อย่างดีต่อโรคความดันโลหิตสูง อาการหัวใจกำเริบ อาการปวดก่อนมีประจำเดือนและมะเร็งลำไส้ แต่คนส่วนน้อยมักละเลยว่าการได้รับแคลเซียมต่อวันนั้นย่อมต้องคำนึงถึงวัยเป็นสำคัญด้วย ดังนั้น wp จึงมีข้อมูลมานำเสนอให้คุณผู้อ่านได้ทราบกันค่ะ


หญิงตั้งครรภ์
สำหรับหญิงมีครรภ์แล้ว แคลเซียม นับได้ว่าเป็นแร่ธาตุที่สำคัญต่อสภาวะการตั้งครรภ์อย่างมาก ควรได้รับ 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน จำเป็นต้องได้รับมากกว่าคนธรรมดาเป็นพิเศษ เนื่องจากจะต้องถ่ายทอดแร่ธาตุดังกล่าวสู่ลูกเพื่อการพัฒนาโครงสร้างร่างกายของทารกในครรภ์ ดังนั้นหญิงมีครรภ์จึงมีโอกาสเสี่ยงสูงที่จะขาดแคลน แคลเซียม นอกจากจะช่วยให้พัฒนาการเติบโตของทารกในครรภ์เป็นปกติแล้ว ยังมีส่วนช่วยรักษาเสถียรสภาพความหนาแน่นกระดูกในแม่ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเกี่ยวกระดูกหรือโรค กระดูกพรุน ในภายหลังได้

วัยเด็ก
เด็กๆ ต้องการ แคลเซียม มากกว่าวัยผู้ใหญ่และวัยสูงอายุ เด็ก (1-10 ปี) ควรได้รับ 800 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน เพื่อนำมาเสริมสร้างความแข็งแรงให้แก่กระดูกและฟัน และส่วนอื่นๆ เพื่อใช้เป็นโครงสร้างของร่างกาย โดยการสะสม แคลเซียม ในเด็กที่หัดพูดจะช้าแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในวัยหนุ่มสาว ซึ่งจากการศึกษาพบว่าถ้าปริมาณ แคลเซียม ในร่างกายเด็กต่ำ จะทำให้ขบวนการสะสมเกลือแร่ในกระดูกและความหนาแน่นของกระดูกต่ำ เป็นผลให้เกิดโรคกระดูกอ่อนหรือโรคกระดูกค่อมงอได้ สิ่งที่สำคัญของช่วงอายุนี้คือ การพัฒนารูปแบบการบริโภคให้สอดคล้องกับระดับ แคลเซียม ที่ร่างกายต้องการให้เพียงพอ เพื่อพัฒนาความหนาแน่นของกระดูก ให้การเติบโตของเด็กเป็นปกติ อีกทั้งยังเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงการเป็นโรคเกี่ยวกับกระดูกในช่วงต่อไปของชีวิตได้

วัยหนุ่มสาว
จากการศึกษาวิจัยแสดงว่า ช่วยอายุ 11-24 ปี เป็นช่วงที่ร่างกายดำเนินขบวนการก่อรูปกระดูก โดยถ้าร่างกายได้รับ แคลเซียม ในปริมาณที่ต่ำกว่าร่างกายต้องการ จะก่อให้เกิดปัญหาตามมาในภายหลังซึ่งถ้าขาดอย่างร้ายแรงจะก่อให้เกิดโรคกระดูกอ่อน มีอาการเจ็บกระดูก เจ็บกล้ามเนื้อ และเมื่อประสบกับการกระดูกหัก กระดูกจะสมานให้เหมือนเดิมได้ช้า ควรได้รับ 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน สิ่งสำคัญคือ การรักษาระดับการบริโภคอาหารให้สอดคล้องกับระดับ แคลเซียม ที่ต้องการเพื่อป้องกันโรคเกี่ยวกับกระดูก ถ้าจะต้องมีการสูญเสียไปในภายหลังของช่วงชีวิต โดยถ้าเราได้รับ แคลเซียม ตั้งแต่อยู่ในวัยหนุ่มสาวหรือกลางคนอย่างสม่ำเสมอและพอเพียง อายุการสึกหรือผุกร่อนตามธรรมชาติก็จะยืดออกไปได้อีกนานกว่าคนที่รับแคลเซียมไม่เพียงพอ

วัยกลางคนถึงวัยสูงอายุ
คนเราปกติจะมีโอกาสสูญเสีย แคลเซียม จากกระดูกเมื่อเรามีอายุมากขึ้น เพราะว่าเมื่ออายุเกินกว่า 30 ปีแล้ว ร่างกายจะไม่สะสม แคลเซียม อีกต่อไป โอกาสเผชิญกับโรคเกี่ยวกับกระดูกจะสูงถ้าร่างกายไม่ได้รับ แคลเซียมอย่างเพียงพอ ซึ่งควรได้รับ 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหญิงวัยหมดประจำเดือนซึ่งการศึกษาพบว่าร่างกายจะสูญเสียกระดูกในช่วงประมาณ 5-6 ปีแรกหลังจากหมดประจำเดือน เนื่องจากการลดลงของฮอร์โมน oestrogens และประสิทธิภาพในการสร้าง Vitamin D ก็ลดลงตามวัยที่เพิ่มมากขึ้น จึงมีแนวโน้มจะเป็นโรค กระดูกพรุนสูง ดังนั้นคนในวัยสูงอายุที่มีการเสริม แคลเซียม ให้กับกระดูกอย่างเพียงพอ จะช่วยยับยั้งการสูญเสียกระดูกในช่วงนี้ได้ การเผชิญกับการผุกร่อนของกระดูกจะน้อยลง ความเสี่ยงที่ต้องเผชิญกับโรคที่เกี่ยวกับกระดูกเมื่อย่างเข้าสู่วัยทองก็น้อยลงหรืออาจไม่เกิดขึ้นเลยก็ว่าได้


ที่มาบทความจาก woman plus


กินอย่างไรให้ไกล 10 โรค


อาหารนอกจากจะให้เราอิ่มอร่อยแล้ว รู้หรือไม่ว่า “อาหาร”หากเราเอาใจใส่เรื่องการกินสักนิด เราก็สามารถป้องกันและรักษาโรคได้


1.เรอบ่อย
วิธีแก้คือควรดื่มน้ำมันฝรั่งต้มวันละ 3 แก้ว จะช่วยลดอาการเร่อบ่อยได้ เพราะหากมีอาการเช่นนี้บ่อยๆอาจเป็นที่รังเกียจของเพื่อนๆได้

2.ท้องอืดท้องเฟ้อ
ถ้ามีสาเหตุจากการกินอาหารจำพวกขนมปัง พุดดิ้ง ให้แก้ด้วยการกินแตงกวาดอง หรือดื่มน้ำเก็กฮวยร้อนๆสัก1-2ถ้วยต่อวัน


3.ความดันโลหิตต่ำ
หลังตื่นนอนให้ดื่มน้ำหนึ่งแก้ว และเลือกรับประทานอาหารที่ปรุงด้วยเกลือ เพราะเกลือจะทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น โดยเฉพาะคนที่ชอบหน้ามืดบ่อยๆเวลายืนหรือตื่นนอน หากรู้สึกเมื่อยล้า ให้กินผักผลไม้ที่มีวิตามินซี เช่น กีวี มะเขือเทศ ฝรั่ง จะช่วยให้ความดันโลหิตสูงขึ้นและหลั่งฮอร์โมนแห่งความสุขด้วย


4.ความดันโลหิตสูง
ให้กิน กล้วย แตงกวา เพราะมีโพแทสเซียมสูงที่ช่วยลดน้ำในเลือดและทำให้ความดันโลหิตลดลง หากความดันสูงและอ่อนเพลียให้กินอาหารที่มีกรดอะมิโน Tryptophanเช่นมันฝรั่ง ถั่ว ข้าวโอ๊ต เนย เป็นต้น และมื้อค่ำควรเสริมด้วยคาร์โบไฮเดรตเช่น ข้าว ผลิตภัณฑ์ธัญพืชไม่ขัดสีและทานเนื้อสัตว์เพียงเล็กน้อย ต่อมาวิตามินอีช่วยปกป้องเส้นเลือดไม่ให้แข็งตัว วิตามินอีมีมากในน้ำมันโดยเฉพาะน้ำมันงาจะให้ผลดีที่สุดคือเหยาะน้ำมันงาในสลัด


5.ซึมเศร้า
ให้กินข้าว ผักดิบวันละหนึ่งครั้ง น้ำมันงา ส่วนเนื้อสัตว์และไส้กรอกกินให้น้อยลงน้อย และมื้อค่ำไม่ทานเนื้อสัตว์


6.นอนไม่หลับ
ให้กินถั่ววันละหนึ่งกำมือ เพราะในถั่วมีไนอาซินสูงซึ่งมีการผลิตฮอร์โมนเซโรโทนินที่เป็นฮอร์โมนแห่งความสุข ทำให้นอนหลับสบายขึ้น หรือทางที่ดีให้เลือกกินอาหารที่ย่อยง่ายๆ


7.อากาศเปลี่ยนทำให้ปวดศีรษะ ง่วง ฯลฯ
วิธีแก้คือ งดกินผลไม้ในช่วงเช้า ควรกินอาหารที่มีโปรตีนและวิตามินบี เช่น แตงกวาดอง ควรกินอาหารเบาๆ เช่น ข้าว ผัก ผลไม้ และปลา ฯลฯ

8.PMSก่อนมีประจำเดือน
ควรกินอาหารที่มีวิตามินบี 6 เช่น ผลิตภัณฑ์ธัญพืชไม่ขัดสี มันฝรั่ง ผลไม้เปลือกแข็ง หากขาดวิตามินบี 6 จะทำให้ซึ่มเศร้า หิวจัดและเจ็บเต้านม

9.กระดูกพรุน
ให้เลือกกินอาหารที่มีแคลเซียม ในนม บล็อกโคลี่ ผักขม ฟอลฟอรัสในอาหาร เช่น อาหารสำเร็จรูป น้ำดำ ซอฟต์ดิ๊งก์ จะลดการดูดซึ่มแคลเซียม รวมทั้งมูสลี่และข้าวโอ๊ตก็จะขัดขวางการดูดซึมแคลเซียมเช่นกัน กินโยเกิร์ตวันละ 2 ถ้วย แบคทีเรียในกรดนมจะช่วยในการดูดซึมแคลเซียมได้ดีขึ้น ฟลูโอไรน์จะช่วยกระตุ้นในการสร้างเซลล์กระดูกมีมากในถั่ว ชาเขียว ปลา ดื่มชาเขียวทุกวันเพื่อในการดูดซึมแคลเซียมเข้าไปในกระดูกวิตามินดีช่วยในการดูดซึมแคลเซียมในร่างกายมีมากในผลิตภัณฑ์นมและปลา

10.วัยทอง(วัยอื่นก็ได้)
ควรดื่มน้ำเต้าหู้วันละแก้วหรือกินพวกนมถั่วเหลือง และโยเกริร์ตวันละถ้วย เพราะแบคทีเรียจากกรดนมจะช่วยในการดูดซึมเอสโตรเจนจากอาหาร เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงอย่าลืมนะคะ


http://women.mthai.com/health/19662.html







ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น