Money In Stocks - ออมเงินในหุ้น

วันเสาร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

ผลประโยชน์หุ้นสุดขั้ว




ทฤษฎีระบบผลประโยชน์หุ้นแบบสุดขั้ว


คำว่า สุดขั้ว หมายถึง ถ้าอธิบายตามทฤษฎีผลประโยชน์แบบสุดโต่ง คือจะมีการอธิบายบางส่วนที่ไม่ได้ถูกบอกออกไปทั้งหมด เพราะมันจะขัดแย้งกับความรู้เดิมอย่างมาก เช่น ถ้าบอกว่าพื้นฐานของหุ้นที่ดี อาจจะทำให้หุ้นตัวนั้นราคาขยับขึ้นไปได้ช้าลงด้วยซ้ำ (ตรงนี้แค่ยกตัวอย่างคำว่าสุดโต่ง) ต่างจากหุ้นเก็งกำไรที่ราคาพุ่งขึ้นไปจนน่ากลัว คือ ราคาหุ้นจะขึ้นลงด้วยกลไกของระบบผลประโยชน์

ในกรณี หุ้นที่พื้นฐานไม่ดี หรือ warrant โดยเฉพาะที่ราคาต่ำกว่า 5 บาท จะมีการเก็งกำไรกันมาก ราคาก็ขึ้นไปอย่างรวดเร็ว คือ เป็นการ เก็งกำไรอย่างสมบูรณ์ มีการถือครองไว้น้อยมาก และราคาก็ตกลงรวดเร็วเช่นกัน รอบที่เป็นวงจรขึ้นลงของหุ้นจะเกิดได้รวดเร็ว อาจจะเกิดในวันเดียว คนจึงเข้ามาเล่นเดย์เทรดกัน

กรณี หุ้นพื้นฐานดี เป็นหุ้นที่คนสนใจเข้ามาเล่นและลงทุนจำนวนมาก ในกรณีนี้ คนที่เข้ามาถือหุ้นและ รอรับปันผล จะถูกตัดออกจากคนส่วนใหญ่ 97% ที่เป็นผู้เข้ามาเก็งกำไร และ 3% เป็นรายใหญ่ เพราะคนที่ถือหุ้นไม่มีส่วนในการขึ้นลงของราคาในแต่ละรอบนั้น ๆ คนถือหุ้นจะถูกรวมใน 97% เมื่อเขาอาจจะแบ่งขายหุ้นที่ถือนั้นออกมา ระบบผลประโยชน์จะพิจาณาเฉพาะคนที่เข้ามาซื้อขายในรอบระยะเวลาที่สนใจเท่านั้น รอบจะเป็น วัน เดือน ปี ก็จะมีคนเข้าซื้อขายแตกต่างกันไป แต่ทุกวินาที นาที จะมีรายใหญ่เข้ามาร่วมด้วยเสมอ

ในมุมมองแบบ สุดขั้ว หุ้นพื้นฐานดี ราคามีการขยับขึ้นไปเพราะมีคนเข้ามาเล่นหุ้นตัวนั้นจำนวนมาก จากการที่เป็นหุ้นพิ้นฐานดี คนจึงสนใจมากทั้งถือและเก็งกำไร แต่ราคาไม่ได้ขึ้นเพราะพื้นฐานของหุ้นเพียงอย่างเดียว ราคาขึ้นไปเพราะมีการเก็งกำไรซื้อขายหุ้นตัวนั้นอยู่ตลอดเวลา ในแบบที่หุ้นตัวเล็กที่พิ้นฐานไม่ดีราคาขยับขึ้นไปสูงๆ

ตัวอย่างที่ได้เขียนไปแล้วในตอนก่อน CPALL ราคาขยับขึ้นจาก 40 มาที่ 60 บาท เพราะมีการขายออกมาที่ราคา 40 บาท เพราะคิดว่าราคาเต็มมูลค่าแล้วไม่น่าจะไปต่อได้ รายใหญ่จึงซื้อไว้ทั้งหมดและราคาจึงขยับไปที่ 60 บาท คือ คนที่ถือหุ้นขายหุ้นออกมาจึงเข้ามาอยู่ในวงเก็งกำไรของ รายย่อยและรายใหญ่ 97/3 % นั้น

หุ้นพื้นฐานดีจึงไม่ได้เห็นราคาขึ่นลงแรงๆ เหมือนหุ้นเก็งกำไร เพราะจำนวนหุ้นที่มีให้เก็งกำไรมีน้อยกว่าจากการถือไว้ของผู้ถือหุ้น




TKN ก็เช่นกัน เป็นหุ้นที่มีพิ้นฐานดีจริง แต่ราคาที่ขึ้นมาถึง 400% เป็นเพราะการเก็งกำไรของรายย่อยจำนวนมาก จำนวนคนที่ถือหุ้น TKN จึงน่าจะมีจำนวนไม่มากเหมือน CPALL เพราะราคาขึ้นมาถึง 400กว่า% ในเวลาไม่กี่ปี

TKN เมื่อเปรียบเทียบกับ CPALL จะมีสัดส่วนของการเก็งกำไรมากกว่าการถือหุ้น เพราะราคาขึ้นมาได้เร็วกว่า สมมุติ TKN มีสัดส่วน คนถือ/คนเก็งกำไร เป็น 30/70 CPALL อาจจะเป็น 40/60 และ TKN เป็นหุ้นตัวเล็ก Market Cap. ต่ำกว่า CPALL คือ TKN ราคาขึ้นไปด้วยการเก็งกำไรที่เกินพื้นฐานของตัวหุ้นแล้ว




AU ออกตัวแรงและคนก็สนใจมากเช่นกัน แต่แล้วก็ไม่ไปไหนเลย เดาว่าคนเข้ามาแล้วติดเยอะเลยจำใจถือ ถ้ามีคนเริ่มขายทิ้งออกมาราคาถึงจะเริ่มขยับขึ้นไปได้ และ FN อาการเดียวกันเลย (ผมติดอยู่ด้วยทั้งสองตัวนี้ เหอะๆ) คือ เข้าซื้อเพราะมองว่าสองตัวนี้จะไปได้แบบ TKN แต่กับ FN ผมยังชอบอยู่ถึงแม้ราคาจะตกลงมา




MTLS น่าสนใจตรงที่คล้าย SAWAD ที่ไปดวงจันทร์แล้ว คนก็เข้ามาเล่นและลงทุนมากเหมือนกันเพราะอยากจะได้ไปดวงจันทร์บ้าง โบรกเกอร์ก็เชียร์ตลอด ได้กัน 150-200% กันถ้วนหน้า แต่การที่ค่อยๆ ขยับขึ้น ก็จะเป็นผลดีต่อหุ้นที่จะไม่เป็นเหมือน AU ที่คนเฮโลไปเล่นกันหมดพร้อมกัน




BEM ควบรวมระหว่าง BMCL กับ BECL (หาราคาเดิมไม่เจอ) ควบรวมแล้วได้ราคามาเป็น 5 บาทกว่า จะได้ 100-160% ถ้วนหน้าเช่นกัน เป้นหุ้นที่ใกล้ตัวทั้งรถไฟฟ้าและทางด่วน คนเข้าใจง่ายก็เข้ามาซื้อกันเยอะและน่าจะมีการถือครองมากด้วย ผมมี BMCL อยู่แล้ว พอควบรวมก็ซื้อเพิ่ม ตอนนี้ยังถืออยู่

ขออีกตัว BEAUTY ให้เป็นขั้นเทพ พื้นฐานก็ดีจริงกับ 295 สาขา ราคาปัจจุบันนี้ถูกแตกพาร์จาก ราคาพาร์ 1 บาทต่อหุ้น มาที่ พาร์ 0.10 บาท เหตุเพราะไปดวงจันทร์มาเรียบร้อยแล้วกลับมายังโลก ตอนนี้อยู่ที่ราคา 10.70 บาท




BEAUTY ราคา IPO 8 บาท แตกพาร์แล้วเป็น 0.80 บาท ราคาสูงสุดไปที่ 12.60 บาท คิดเป็น 1500% ดาวอังคารเลยละ การเก็งกำไรมีมากกว่าการถือครองหุ้น แบบเดียวกับ TKN แต่ไปแรงกว่ามาก BEAUTY, CPALL ผมไม่มี เคยซื้อ BEAUTY นิดหน่อย

สมมุติฐาน ได้ว่า ถ้าหุ้นตัวนั้นถูกถือไว้ทั้งหมดในจำนวนที่มีอยู่ในตลาด หุ้นตัวนั้นราคาจะไม่ขยับไปไหนเลย เพราะไม่มีการซื้อขายกันเลย ลองพิจาณาดูว่าจริงไม๊

ดังนั้นจึง สมมุติฐาน ได้ว่า หุ้นทั้งหมดในตลาดหุ้นทั้วโลก มีการเปลี่ยนแปลงของราคาขึ้นลงเพราะมีการซื้อขายกันอยู่ตลอดเวลา โดยอยู่ภายใต้การอธิบายของ ทฤษฎีระบบผลประโยชน์

ใช้คำว่า สมมุติฐาน เพราะไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่า มันจริงตามนั้นทั้งหมดหรือไม่ ...แล้วจะมาสนใจเรื่องนี้ทำไม




ถ้ารายใหญ่ ทำตามที่ว่ามานี้ทั้งหมด คือ เป็นผู้ที่ทำให้ราคาหุ้นขึ้นลง จากการเข้าซื้อขายตรงข้ามกับ รายย่อยทั้งหลาย ถามว่า รายใหญ่ ที่เป็นคนระดับโลกที่รวยที่สุด ดีดนิ้วทีเดียวก็ซื้อตลาดหุ้นไทยได้ทั้งตลาดแล้ว เขาจะอยากให้คุณรู้หรือว่า กลไกของราคาหุ้นมันเป็นเพราะเขาเข้ามาซื้อขายอยู่ในหุ้นทุกๆ ตัว ถ้าคุณรู้ รายใหญ่เขาก็จะ ไม่ได้เงินจากคุณซิ

คุณพิชัย เปรียบเทียบว่า ถ้าเราเข้าไปในป่าแล้วเจอกระท่อม มีอาหาร น้ำ ไฟ อย่างดี แล้วคุณก็เข้าไปกินอาหารนั้น โดยลืมคิดไปว่า อาหารมากมายนี้ มาอยู่กลางป่าลึกได้ยังไง ...อาเมน

ตอนที่เชื่อว่าโลกแบน มีสมมุติฐานว่า โลกน่าจะกลม ก็ต้องนั่งเรือสำรวจถึงจะเห็นกับตา

คุณพิชัย บอกว่า ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐจะแข็งค่า เหตุเพราะเศรษฐกิจของอเมริกาจะดีขึ้น เนื่องจากอเมริกาเป็นประเทศที่มีความรู้ในเรื่องต่างๆ มากที่สุดในโลก และมีการคาดการณ์ว่าค่าเงินดอลลาร์จะอ่อนค่าจากการบริหารของ ทรัมป์ ตามทฤษฎีผลประโยชน์จึงจะตรงข้าม เงินดอลลาร์สหรัฐเทียบกับเงินสกุลอื่นจะแข็งค่าไปเรื่อยๆ คือ สกุลอื่นจะอ่อนค่า รวมทั้งเงินบาทด้วย




ในยูทูบ คุณพิชัยบอกในวันนั้นที่ 29 บาท จะขึ้นมาที่ 35 บาท และก็จะไปต่อที่ 40 บาท และบอกอีกว่าหุ้นก็จะขึ้นไปด้วย คือ ถ้าเงินบาทขยับไปที่ใกล้ 40 อาจจะช่วง 37-38บาท ภาคเศรษฐกิจจริงอาจจะเป็นจุดที่ดูไม่ดีเอาเสียเลย คนจะเริ่มขายหุ้นออกมา และตลาดหุ้นก็จะผ่าน 1,600จุด ไปได้ เมื่อมองในระยะเวลาที่ค่าเงินจะขยับขึ้นไป ก็อาจจะพอดีกับตลาดหุ้นจะไปได้ที่ 1,700จุด – ตรงนี้ผมประมาณการเอาเอง

ขีดเส้นใต้ เงินบาท 40 บาท หุ้นจะ 1,700 จุด (ความเห็นส่วนตัว) หรือ ณ 40 บาท หุ้นอาจจะ 1,800-2,000 ก็ได้ เพราะคุณพิชัยไม่ได้บอกว่าเงินบาทจะไปมากกว่า 40 จึงเป็นจุดที่จะเกิดการกลับตัวของค่าเงินบาทลงมาแข็งค่า และจะเป็นจุดเปลี่ยนแปลงของภาคเศรษฐกิจจริง

เมื่อตลาดหุ้น 1,700 จะส่งผลต่อภาคเศรษฐกิจจริง (Real sector) ให้ดีขึ้นด้วยจิตวิทยา คือ ราคาหุ้น ไปกำหนดสถานการณ์ให้ดีขึ้น คำอธิบายมาหลังราคา ซึ่งเกิดขึ่นเป็นประจำในการรายงานข่าวสารต่างๆ จึงเป็นจุดที่สถานการณ์ดูดี พูดได้ว่าเศรษฐกิจจะฟื้นกลับขึ้นมา มีการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น

ถ้า 2,000จุด เป็นเป้าหมายที่คุณพิชัยบอกไว้ ช่วง 1,700-2,000 จะเป็นช่วงที่เศรษฐกิจกลับมาดี และหลังจากผ่าน 2,000จุด ไป หุ้นก็จะเป็นขาลงอย่างแท้จริง ตามวงจรการขึ้นลงของมัน

คือ ตลาดเก็งกำไรไปกำหนดสถานการณ์ของภาคเศรษฐกิจจริง เมื่อตลาดหุ้นขึ้น เศรษฐกิจจริงก็จะดีขึ้นไปด้วย ตามหลังตลาดเก็งกำไรที่ดีไปก่อนหน้าแล้ว ตลาดเก็งกำไรจึงเปลี่ยนแปลงทิศทางก่อนภาคความจริงและชี้นำเศรษฐกิจของประเทศ

สรุปได้ว่า 
ราคาหุ้นจะขยับขึ้นไปเกินพื้นฐานได้เป็นเรื่องปกติ ตามแนวคิดระบบผลประโยชน์ แล้วเหตุผลก็จะมาตามหลังว่าหุ้นขึ้นไปเพราะอะไร ซึ่งเป็นเหตุผลที่อธิบายการขึ้นลงของราคาไม่ได้จริง (พูดที่หลังเหตุการณ์จะพูดอะไรก็ได้ หวยออกตัวนี้ เห็นไม๊ละบอกให้ซื้อ แต่ตัวเองไม่ได้ซื้อ) ถ้าพื้นฐานไม่ดีไม่ต้องพูดถึง จะมีการเก็งกำไรอย่างสมบูรณ์ในหุ้นตัวนั้น เพราะมีการถือครองหุ้นน้อย หุ้นส่วนใหญ่จะถูกซื้อขายอยู่ตลอดเวลา




ผมถอดความและขยายความจากยูทูบของคุณพิชัย ผู้ที่สนใจในทฤษฎีนี้ควรจะฟังยูทูบและอ่านหนังสือเรื่อง เศรษฐศาตร์แห่งความจริง เป็นเล่มที่อธิบายทฤษฎีนี้ไว้ละเอียดกว่าทุกเล่ม จะมีข้อมูลตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันว่าแต่ละช่วงเวลาเกิดอะไรขึ้นมาบ้าง

ตลาดเก็งกำไรไม่ได้มีตรรกะแบบภาคเศรษฐกิจจริง ที่จะเป็นเหตุเป็นผลต่อกันและอธิบายแบบทั่วๆไปได้ ที่เราได้ฟังกันอยู่ทุกวัน


อย่าเชื่อ แม้ผู้พูดเป็นครูบาอาจารย์
รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม


By zurrist











รับออกแบบ ก่อสร้าง








วันจันทร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

กำไรหุ้นย้อนศร 3





กำไรหุ้นแบบย้อนศร ตอนที่ 3


คุณพิชัย จะไม่เล่นหุ้นในระยะสั้น จะซื้อและถือหุ้นตั้งแต่ 1,200 จุด และรอขายออกที่ 2,000 จุด แต่จากทฤษฎีบอกว่า กลไกของระบบผลประโยชน์เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาแม้แต่รายวินาที ผมจึงลองเอามาทดลองใช้กับการเล่นหุ้นเดย์เทรด

เพื่อให้การเก็งกำไรจะไม่ขาดทุนบ่อยครั้งหรือเข้าซื้อไม่ทัน ลองเลือกหุ้น ตัวสีแดง ที่ย่อลงมาประมาณ RSI 30 หรือน้อยกว่ายิ่งดี เพราะเป็นจุดที่หุ้นตัวนั้นจะกลับตัวขึ้นไป ถ้าเราไปเข้าตัวสีเขียวที่กำลังวิ่ง เราจะเข้าไม่ทันและถ้าเข้าไปแล้ว หุ้นตัวนั้นจะกลับตัวลงได้ตลอดเวลา และเราก็จะออกไม่ทันอีก

เมื่อ รายย่อย ที่เป็นคนส่วนใหญ่ (Mass) เข้าตามไล่ราคาหุ้นตอนที่ขึ้นไปสูง เมื่อมีจำนวนคนเข้ามาซื้อจนจำนวนรายย่อยเป็น 90% โดยประมาณของผู้ที่เล่นหุ้นตัวนี้อยู่ทั้งหมด คือ มีคนที่ซื้อในขณะนั้นมากกว่าคนที่ขาย มีเพียง 10% เท่านั้นที่ทำการขาย จับคู่ราคา กับฝั่งผู้ซื้อ




แต่ใน 10% นี้ จำนวนหุ้นและจำนวนเงินที่ขายออกไป เท่ากับ จำนวนที่ฝั่งซื้อกำลังซื้ออยู่ และจำนวนการขายที่ว่านั้นจะออกจากมือของ รายใหญ่ ทั้งหมด คือ การซื้อของรายย่อยทุกคน ได้รับหุ้นไปจากรายใหญ่เพียงคนเดียว (สมมุติว่ามีรายใหญ่คนเดียวเล่นอยู่ เพื่อเข้าใจได้ง่าย)

จากจุดสูงสุดที่หุ้นตัวนั้นขึ้นไปได้ ราคาจะเริ่มกลับตัวลงมา ณ จุดที่คนส่วนใหญ่เข้ามาซื้อพร้อมกันทั้งหมด รายใหญ่ก็ทยอยขายให้ ราคาก็จะลงมาเรื่อย ๆ

เมื่อหุ้นลงมาถึงจุดต่ำสุด เป็นจุดที่ คนส่วนใหญ่ 90% ได้ขายหุ้นออกมาพร้อมกันทั้งหมด จากที่ราคาขยับลงมาเรื่อย ๆ คือ ทยอยขายออกตามราคาที่ลดลงมา ในช่วงนี้ รายใหญ่คนนั้น ก็ได้รับซื้อหุ้นที่ขายออกมาตลอดทางด้วยเช่นกัน เมื่อถึงจุดที่รายย่อยทั้งหมดขายหุ้นออกมาพร้อมกัน ราคาหุ้นก็จะขยับขึ้นไปเรื่อย ๆ

จากการรับซื้อหุ้นทั้งหมดนั้นไว้โดยรายใหญ่คนนั้น ทิศทางราคาจึงกลับขึ้นไปเพราะเป็นการซื้อของคนเพียงคนเดียว แต่จำนวนเงินและจำนวนหุ้นนั้นเท่ากับจำนวนของรายย่อยทั้งหมดที่ขายออกมา ถ้าเราเลือกเข้าหุ้น ตัวสีแดง ที่ลงมาต่ำที่จุดต่ำสุด จะเป็นจุดกลับตัวของราคาขึ้นไปทำจุดสูงสุดอีกรอบ ตามวงจรที่กล่าวข้างต้นนั้น


หุ้นไม่กลับขึ้นแม่ว่าลงมาต่ำมาก
อาจเป็นเพราะปริมาณการซื้อขายยังไม่มาดพอที่จะทำให้ราคาขยับขึ้นไป 


ถ้าอธิบายด้วยการใช้โปรแกรมซื้อขายอัตโนมัติแบบ Robot ของรายใหญ่ เขาเพียงปล่อยให้โปรแกรมทำงานไป มันจะจับคู่ราคาโดยอัตโนมัติ เมื่อรายย่อยทำการซื้อหรือการขายข้างใดข้างหนึ่งพร้อมกันหมดในหุ้นตัวนั้น ๆ ก็จะเป็นจุดกลับตัวของหุ้นทั้งขาขึ้นและขาลง เราจะทำกำไรได้ก็ต่อเมื่อเรา ทำตรงข้าม กับคนส่วนใหญ่และเลือกซื้อในเวลาที่ รายใหญ่ซื้อ ก็คือจุดที่ หุ้นลงมาต่ำกว่า RSI 30

และถ้าเข้าแล้ว เกิดหุ้นตัวนั้นไม่วิ่งขึ้นไปในวันนั้น ให้ขายทิ้งไปก่อน เพราะ warrant จะสวิงแรงมากและอาจจะลงต่อไปได้อีก ถ้าไม่กลับขึ้นไป ไม่ควรห่อของกลับบ้านเด็ดขาด




ตามที่เคยเขียนไปก่อนหน้านี้ เราตั้งค่าช่อง Ticker ในหน้าแรกของ Streaming ให้แสดงค่าเฉพาะหุ้น Warrant เพื่อเลือกเล่นเฉพาะ warrant เท่านั้น ถ้าชอบหุ้นตัวเล็กก็สุดแล้วความถนัด แต่หลักการเหมือนกัน ใช้กราฟราย 1 นาที เพื่อเข้าซื้อหุ้นได้ทันก่อนที่ราคาจะกลับตัวขึ้นไป เครื่องมืออื่น ๆ จะตัดขึ้นทั้งหมดถ้าราคาเริ่มขยับกลับขึ้นไป

จุดขายหุ้นทำกำไร คือที่ RSI ประมาณ 80% ใจกล้าหน่อยก็ 90% หรือขายเมื่อมีแท่งแดงแท่งแรกในกราฟรายนาที ดูกราฟราย 3, 5 นาที ช่วยด้วยได้ ถ้ายังเป็นแท่งเขียวอยู่ก็ยังไม่ขาย




ถ้าไม่เล่นเดย์เทรด ลองเล่น Derivative Warrant (DW) หลักการเดียวกันคือ เราดูหุ้นตัวที่พิ้นฐานดีหน่อยอย่าง BDMS, KTC ลงมาต่ำมาก เราเข้าซื้อ DW ที่จุดต่ำสุด RSI ต่ำกว่า 30 ดูวันหมดอายุของ DW 3 เดือนข้างหน้า เผื่อว่าหุ้นตัวนั้นกลับขึ้นไปได้ช้า DW ก็จะวิ่งตามหุ้นตัวแม่ เรารอขายตามที่พอใจ แต่ต้องใจเย็นและรอถือไว้ได้ ใช้กราฟรายวันดูจุดต่ำสุดเพื่อเข้าซื้อ

วงจรของหุ้นที่ขึ้นลงอธิบายได้ตามทฤษฎีผลประโยชน์แบบที่เขียนมานี้ วงจรแบบนี้จึงเกิดตั้งแต่รายวินาที นาที วัน สัปดาห์ ไปจนถึงรอบใหญ่ของทั้งตลาด

ณ จุดที่ต่ำกว่า 1,600 จุด นี้ ในที่สุด SET ก็จะผ่านไปได้ จุดนี้เป็นจุดที่รายย่อยมีปริมาณการซื้อขายพอ ๆ กัน ตลาดจึง sideway วันไหนที่ตลาดขึ้นไปได้ 10 จุด แสดงว่า วันนั้นรายย่อยขายออกมามากพร้อม ๆ กันทั้งหมด แล้วรายใหญ่ก็รับซื้อหุ้นจำนวนนั้นของรายย่อยไว้ทั้งหมดเช่นกัน ตลาดจึงขึ้นในวันนั้น เพราะเป็นการซื้อด้วยจำนวนเงินเท่ากับที่รายย่อยขายออกมาทั้งหมด

รายใหญ่ที่ว่านี้ เป็นผู้ที่เงินของพวกเขาอยู่ในตลาดเก็งกำไรทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น ตลาดหุ้น ทองคำ ค่าเงินทุกสกุล Bitcoin ตลาดสินค้าล่วงหน้าทั้งหมด แล้ว คนปั่นหุ้น ที่เป็นคนไทย มีเงินสู้กับเขาได้หรือ คือ คำถาม การปั่นหุ้นคงมีแน่นอน แต่ปั่นแล้วเอาเงินมาจากรายใหญ่ได้หรือป่าวเท่านั้น ที่จะถามอีกข้อ เราไม่ต้องกลัวคนปั่นหุ้นเพราะทำอะไรกับตลาดไม่ได้ แต่ควรกลัวรายใหญ่ให้มาก ๆ เลย




อันนี้เป็นข้อสมมุติฐาน คือ มีรายใหญ่อยู่จำนวนหนึ่งประมาณ 3% ของจำนวนคนทั้งหมดที่อยู่ในตลาดทั้งโลก อีก 97% เป็นรายย่อยทั้งหมด การขึ้นลงของราคาหุ้นเป็นเพราะ เงินของรายใหญ่เพียงไม่กี่คนเท่ากับเงินของรายย่อยทั้งหมดทั่วโลก

ทิศทางของราคาหุ้นจึงเกิดจากการซื้อหรือขายของรายใหญ่ เมื่อเขาซื้อราคาก็จะขึ้น เมื่อขายราคาทั้งตลาดก็จะตกลงมา จึงตรงข้ามกับรายย่อย เมื่อพวกเขาซื้อพร้อมกัน ราคาจะลง และเมื่อขายพร้อมกัน ราคาจึงขึ้นไป

รายใหญ่ไม่ได้เป็นผู้กำหนดทิศทางของตลาดได้ แต่เขารอเวลาที่รายย่อยจะทำเหมือนกันทั้งหมดในทางใดทางหนึ่ง เขาเพียงรอจับคู่ราคาด้วย Robot หรือเครื่องมืออะไรเราไม่อาจรู้ได้ เรารู้ได้เพียงแค่ว่า รายใหญ่ที่ว่านั้นน่าจะมีตัวตนอยู่จริง

ทฤษฎีผลประโยชน์ จึงเป็น สมมุติฐานที่อธิบายตลาดเก็งกำไรทั่วโลกว่า มีปรากฎการณ์เป็นวงจรการขึ้นลงของราคาดังกล่าวนี้

ถ้ามาดูหุ้นรายตัว อย่าง TKN นักวิเคราะห์บอกราคาที่ 28 บาท เกินมูลค่าแล้ว ก็จริงตามนั้น ราคาหุ้นขึ้นมามากว่า 400% จาก 5 บาท อธิบายได้ว่า มีคนเข้ามาเล่นหุ้นตัวนี้เยอะมาก ก็เกิดการเก็งกำไรแบบสมบูรณ์ เกิดการซื้อขายจำนวนมาก ราคาหุ้นก็ขยับขึ้นมาได้มากด้วย หุ้นตัวที่ราคาขึ้นมาสูงเกินมูลค่าก็จะมีลักษณะเดียวกันแบบนี้ คือ พื้นฐานของหุ้นไม่รองรับราคาที่แพงแล้วเพราะ เกิดการเก็งกำไรแบบสมบูรณ์ในหุ้นตัวนี้แล้ว




ถ้าเป็น CPALL เป็นหุ้นแบบ แพงแล้วแพงได้อีก จาก 40 บาท ว่าแพงแล้ว ขึ้นมาที่ 60 บาท สมมุติฐานได้ว่า ราคาที่ 40 คนคิดว่าแพงแล้ว ไม่น่าจะไปต่อได้จึงมีการขายออกมาเป็นระยะ แล้วรายใหญ่ก็รับซื้อไว้ทั้งหมดตามเดิม ราคาก็ขยับขึ้นไปที่ 60 แสดงว่ามีการขายออกมาจำนวนมาก ราคาจึงวิ่งขึ้นมาอีกถึง 20 บาท ก็เป็นเช่นฉะนี้ ตามทฤษฎีผลประโยชน์

แม้แต่หุ้น VI ที่มีคนถือจำนวนมาก ก็จะเกิดการเกินมูลค่าได้ เพราะ มีการเทขายหุ้นออกมามาก คือ มีการถือครองหุ้นน้อยลงจากการขายทำกำไรออกมา จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงของราคาแรงไปด้วย


ตรรกะของตลาดหุ้น
ไม่ใช่ตรรกะแบบที่คุณรู้


By zurrist














รับออกแบบ ก่อสร้าง