Money In Stocks - ออมเงินในหุ้น

วันอาทิตย์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2561

หุ้น และ จักรวาล





กราฟหุ้น Fibonacci


ใครที่เล่นหุ้น หรือ ค่าเงิน คงจะรู้จักการลากเส้น Fibonacci กันมาบ้างแล้วในการดูกราฟทางเทคนิค ที่เขียนในครั้งนี้จะเล่าเรื่องที่มาของฟิโบเนชชิว่ามีความน่าสนใจพอสมควร

Fibonacci คือชื่อของนักคณิตศาสตร์ชาวอิตาลี ลีโอนาร์โด ฟิโบเนชชี (ประมาณ ค.ศ. 1170 – 1250) ดูประวัติในลิงค์ด้านล่าง เขาได้ค้นพบชุดตัวเลขด้านล่างนี้

Fibonacci number 1 1 2 3 5 8 13 21 34 55 89 144 233 377 …….

ชุดตัวเลขนี้เป็นตัวอย่างการคำนวณของฟิโบเนชชี โดยเลขสองตัวหน้าบวกกันแล้วได้ตัวหลัง 1+1=2, 2+3=5 ต่อไปเรื่อย ๆ เป็นต้น ด้วยสูตรการคำนวณของเขา ได้ถูกนำไปศึกษารูปทรงต่าง ๆ ในธรรมชาติตั้งแต่ กาแล็คซี ลายหอย พายุเฮอริเคน ดอกไม้ ผลไม้ ตามตัวอย่างในรูป



คือ รูปร่างของ กาแล็คซี หรือ ลายหอย มีการก่อตัวขึ้นและจัดเรียงตัวในรูปแบบเดียวกันตามสูตรฟิโบ ฯ แล้วได้มีการนำสูตรนี้มาใช้ใน การลากเส้นฟิโบเนชชี ที่มีค่าจาก 0%, 23.6%, 38.2%, 50%, 61.8%, 78.6%, 100%, 123.6% ที่เรานำไปใช้เพื่อหาจุดกลับตัวของราคาหุ้นทั้งขาขึ้นและขาลง ดังภาพ

การลากเส้นพิโบในกราฟขาขึ้น จุดที่ 61.8% เป็นจุดที่ราคาหุ้นจะเป็นขาขึ้น และเป็นจุด เข้าซื้อ ตรงนี้ แล้วถือรอเพื่อไปขายที่ 100% เพื่อทำกำไรในการเล่นรอบของหุ้น จุด 61.8 เป็นจุดที่มีพลังสะสมของปริมาณการซื้อแล้วดีดขึ้นไป ในทางกลับกันในขาลงจะเป็นจุดที่จะตกลงมาแรงและไม่กลับขึ้นมาจนกว่าจะลงไปถึงจุดต่ำสุด



มันจึงทำให้เวลาเราลากเส้นฟิโบในกราฟย้อนหลัง แล้วได้เห็นความพอดีของค่าจุดสูงสุดและต่ำสุดตรงตามค่าตามสูตร และการลากฟิโบจึงถูกนำมาใช้ในการทำนายราคาของหุ้นและตลาดในอนาคตเพราะมีความใกล้เคียงพอสมควรที่ราคาหุ้นจะเป็นไปตามสูตรนี้

ที่มาของค่าร้อยละของฟิโบ คือ
61.8% มาจาก 55/89
38.2% มาจาก 34/89
23.6% มาจาก 21/89
78.6% มาจาก 38.2-23.6=14.6 เอาไปบวก 61.8=78.6%

และมีค่าสำคัญค่าหนึ่งคือ The Golden Ratio = 1.618 ได้จากชุดเลขฟิโบเนชี 377/233 ซึ่งเป็นตัวเลขอัตราส่วนของร่างกายมนุษย์ อย่างเช่น กระดูกแต่ละข้อ ใบหน้าคน ถ้าใบหน้ามีเส้นตั้งและเส้นนอนได้ตามสัดส่วน 1.618 นี้ ใบหน้านั้นจะได้สัดส่วน คือ หน้าตาคนนั้นจะ หล่อ และสวย หรือถ้านำไปใช้ในการคำนวณความกว้างและยาวของการออกแบบอาคาร ก็จะได้อาคารที่แข็งแรงสวยงาม ดู VDO ด้านล่างเพิ่มเติม

ค่า 61.8% เป็นชุดตัวเลขของ Golden Ration เช่นกัน การใช้งานในกราฟ จึงเป็นจุดที่ราคาหุ้นจะเปลี่ยนแปลงเป็นขาขึ้นหรือขาลง



จากสูตรฟิโบนี้ เป็นข้อพิสูจน์ว่า ราคาหุ้นและราคาสินทรัพย์ในตลาดเก็งกำไรทั้งหมด จะขึ้นและลงไปตามค่าทางคณิตศาตร์แบบฟิโบนี้ มันจึงสนับสนุน ทฤษฎีระบบผลประโยชน์ ตรงที่ว่า เมื่อมีการซื้อการขายเกิดขึ้น รายใหญ่ระดับโลกรอจับคู่ราคาไม่ว่าจะซื้อหรือขายตลอดเวลานั้น เป็นการเกาะไปกับสูตรฟิโบเนชชี เพื่อรอให้เกิดโมเมนตัมทั้งการขึ้นและลงของราคาหุ้นโดยอัตโนมัติ โดยอาจจะใช้ โปรแกรมโรบอท หรือ การซื้อขายอัตโนมัติด้วยระบบหุ่นยนต์ ที่จะรอจับคู่ราคาในตลาดตลอดเวลา เราซื้อ โรบอทขายให้ เราขาย โรบอทก็รับซื้อไว้ทั้งหมด จุดที่ 61.8% จึงเป็นจุดเกิดโมมันตัมแรงส่งที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของราคาดังที่กล่าว



ดังนั้น หุ้นที่คิดว่ามีการปั่น มีการขึ้นลงของราคาในระหว่างวัน ทำจุดสูงสุดต่ำสุดหลายรอบในวันเดียว เพราะมีการเก็งกำไรอย่างสมบูรณ์ในหุ้นตัวนั้น และเป็นไปตามสูตรของฟิโบอย่างเห็นได้ชัด การที่มีคนเข้ามาเก็งกำไรในหุ้นตัวนั้นจำนวนมากทำให้ราคาขึ้นลงได้แรง เพราะรายใหญ่ระดับโลกได้เข้ามาจับคู่ราคาอย่างสมบูรณ์ แล้วเกิดการเรียงตัวของเส้นราคากราฟตามสูตรฟิโบ คล้ายกับการเรียงตัวหรือขยายตัวของลายหอยและกาแล็คซี

ไม่ว่าจะเป็น บิทคอยน์ ค่าเงิน หรือ ตลาดที่มีการเก็งกำไรมาก ๆ ก็จะมีกราฟและการเคลื่อนตัวของราคาตามสูตรฟิโบเช่นกัน เพราะรูปแบบและการจัดเรียงตัวของทุกสรรพสิ่งเกิดรูปแบบคล้าย ๆ กันแบบนี้ จึงมีคนพูดว่า บิทคอยน์ นั้นมีกราฟที่ตรงและอธิบายได้ด้วยสูตรฟิโบอย่างดีเยี่ยมเลย เหตุเป็นเพราะบิทคอยน์เป็นตลาดที่มีการเก็งกำไรแบบสมบูรณ์ 100% เนื่องจากมีพื้นฐานในการนำไปใช้จับจ่ายน้อยมากไม่ถึง 1% ของจำนวนบิทคอยน์ที่มีอยู้ทั้งหมดทั่วโลก


ภาพนี้ 1,900 จุด จะเป็นเป้าหมายต่อไปที่ SET จึงไปถึง จากการลากเส้นฟิโบ


สำหรับหุ้นตัวที่มีการถือครองอยู่ในมือเพื่อการลงทุนรับปันผล อย่างเช่น CPALL ราคาจะไม่วิ่งขึ้นลงแรง ๆ เหมือนหุ้นเก็งกำไรเพราะจำนวนหุ้นที่ถูกเก็งกำไรซื้อขายในแต่ละวันน้อยกว่า จำนวนหุ้นและจำนวนเงินไม่มากพอที่จะให้รายใหญ่จับคู่ได้มากพอ ราคาหุ้นจึงมีการขยับขึ้นลงได้น้อยกว่า หุ้นตัวเล็ก ที่มีการเก็งกำไรมาก ๆ และหุ้นแบบ warrant หรือ หุ้นราคาตัวละบาท ยิ่งวิ่งขึ้นลงแรงมาก และเป็นไปตามสูตรฟิโบอย่างสมบูรณ์แบบ ใครที่เคยเล่นน่าจะเข้าใจดี

อย่าง ทองคำ น้ำมัน ค่าเงิน มีการใช้จริงอยู่ในทั้งโลก ราคาก็จะไม่ได้ขึ้นลงให้เห็นในรอบสั้น ๆ ต้องใช้ฟิโบดูในรอบใหญ่เป็นเดือนเป็นปี จึงจะเห็นรอบการขึ้นลงได้ชัดเจนกว่า



ฟิโบเนชชี จึงน่าสนใจมากที่สามารถอธิบายการขยายตัวของกาแล็คซีได้ และยังนำมาอธิบายสิ่งเล็ก ๆ อย่าง ลายของหอย การแตกกลีบของดอกไม้ ผลไม้ ได้อย่างน่าทึ่งมาก ๆ โดยมีสูตรและชุดตัวเลขอันเดียวกัน และคนที่เก่งมากอีกคนคือ คนที่นำมาประยุกค์ใช้กับกราฟหุ้นหรือกราฟตลาดเก็งกำไรได้อย่างดีเช่นกัน

ในรายละเอียดที่มาของสูตรฟิโบ ผมไม่มีความรู้ว่าคำนวณอย่างไร หัวข้อนี้เพียงต้องการเล่าให้ฟังถึงความเชื่อมโยงของสูตรที่ใช้กับกาแล็คซี่ แล้วมาเกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิต ปรากฏการณ์ธรรมชาติบนโลก จนถูกนำมาใช้ในกราฟหุ้น มันเป็นเรื่องน่าสนใจและไม่น่าเชื่อว่ามันเชื่อมโยงกันได้เหมือนเป็นสูตรสำเร็จ


เด็ดดวงดาวสะเทือนถึงดอกไม้


By zurrist














** Image credit: Google


 




 


3D Moving Electronica
 










วันศุกร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2561

จิตวิทยาหุ้น




จิตวิทยาการลงทุน 


จิตวิทยา หรือ ความคิดและการตัดสินใจของนักลงทุนในตลาดทุนเราคงได้ยินกันมาบ้าง ในบทความนี้จะอธิบายภายใต้ ทฤษฎีระบบผลประโยชน์ ซึ่งจะสวนทางและขัดกับความรู้ที่เคยได้รับมาแบบเดิม ๆ

คำว่า ฟองสบู่ ถูกพูดถึงมากในช่วงนี้ จากเรื่องกระแสของ bitcoin ที่สะเทือนไปทั้งโลก และมองว่าเป็นเรื่องหลอกลวง เชื่อถือไม่ได้ มีการวิพากวิจารณ์อยากรุนแรง ด้วยราคาที่ขึ้นมาถึง 600,000 บาทต่อ 1 bitcoin หรือ 20,000 ดอลลาร์สหรัฐ ทั้งโลกจึงบอกเป็น ฟองสบู่ แน่นอน

ฟองสบู่ เกิดเพราะ คนส่วนใหญ่ เข้าไปซื่อสินทรัพย์ใด ๆ ในจุดที่ราคาขึ้นมาสูงมากและยังขึ้นต่อไปเรื่อย ๆ จุดนี้เป็นเหมือนยอดเขา เมื่อปริมาณการซื้อมากกว่า 90-95% ของสินทรัพย์นั้น จะเป็นจุดกลับตัวของราคาเพราะสินทรัพย์นั้นไปอยู่ในมือของคนส่วนใหญ่จนเกือบจะหมดแล้ว ปริมาณการขายออกเพื่อทำกำไรก็จะเพิ่มขึ้น แล้วราคาก็จะเริ่มย่อตัวลงและเริ่มเป็นขาลงของสินทรพย์นั้นในที่สุด

 ทองคำ

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด ได้แก่ ทองคำ ที่คนทั่วไปจะติดกันที่ราคาประมาณ 25,000 บาท และทองคำ อาจจะพูดได้ว่าเป็นสินทรัพย์ที่เป็นฟองสบู่ไปแล้ว เพราะมีทองอยู่ในมือของคนในโลกจำนวนมาก และราคาทองคำก็อาจจะไม่กลับขึ้นไปได้ที่จุดสูงสุดเดิมได้ง่าย ๆ เพราะมีคนติดและจำใจถืออยู่จำนวนมาก

ในระบบผลประโยชน์ จะมองว่าปรากฏการณ์แบบ ฟองสบู่ เป็นเรื่องปกติในตลาดเก็งกำไร เพราะมี “รายใหญ่ของโลก” ที่มีเงินไม่จำกัดมากมายมหาศาลเกินกว่าที่เราจะประมาณได้ ตัวอย่างที่เราจะนึกภาพได้คือ กองทุนขนาดใหญ่ของโลก หรือ จอร์ส โซรอส ที่จะถูกยกตัวอย่างเป็นประจำ เราไม่อาจรู้ได้ว่า โซรอส ได้ทำอะไรกับตลาดเก็งกำไรทั่วโลกบ้าง แต่เราได้เห็นตอนช่วงต้มยำกุ้ง ที่ค่าเงินบาทไปถึง 50 บาทต่อดอลลาร์ โดยในขณะนั้นมีชื่อของโซรอส เข้ามาเก็งกำไรค่าเงินบาท

จิตวิทยาการลงทุนทั่วไป เราอาจจะพูดถึง จังหวะเวลาในการตัดสินใจลงทุน การอ่านใจตลาด การปั่นหุ้น การควบคุมตลาดของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง โดยเป็นเพียง ความเชื่อ ที่เล่าต่อกันมาหรือคิดกันไปต่าง ๆ นา ๆ

ส่วนระบบผลประโยชน์ ตั้งสมมุติฐานว่า มีรายใหญ่ระดับโลกอยู่เบื้องหลังการขึ้นลงของราคาในตลาดเก็งกำไรทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น ทองคำ ค่าเงิน หุ้น น้ำมัน สินแร่อื่น ๆ และสินค้าล่วงหน้าต่าง ๆ รวมทั้งบิทคอยน์ด้วย


 น้ำมัน

แนวคิดที่จะเป็น ทฤษฎี จะต้องได้รับการพิสูจน์ทางวิชาการที่มีมาตรฐานจึงจะเรียกสมมุติฐานนั้นให้เป็นทฤษฎีได้ แต่ระบบผลประโยชน์ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ เพราะไม่ได้มีการรับรู้ในวงกว้าง บุคคลที่ตั้งทฤษฎีนี้คือ คุณพิชัย จาวลา เจ้าของโรงแรม B2 ที่คงจะพอรู้จักกันอยู่ ระบบผลประโยชน์ จึงเป็น สมมุติฐาน ในวันนี้ และคุณต้องพิสูจน์ด้วยตัวเอง เพราะจะไม่มีต่างชาติหรือใครมาพิสูจน์ให้คุณ เพราะถ้ามันถูกพิสูจน์ว่าเป็นจริงตามนั้น รายใหญ่ระดับโลก เขาจะทำกำไรในตลาดเก็งกำไรไม่ได้อีกต่อไป

การปั่นหุ้น หรือ ปั้นราคาสินทรพย์ใด ๆ จึงเป็นแค่ ความเชื่อ หรือคิดกันไปเอง แต่อาจมีกลุ่มคนที่ปั่นหุ้นอยู่จำนวนหนึ่งที่เคยโดนจับดำเนินคดีกันไป กลุ่มคนเหล่านั้นเป็นกลุ่มที่เล็กมาก ทำได้แค่ปั่นหุ้นเป็นรายตัว ไม่สามารถกำหนดทิศทางของตลาดทั้งตลาดได้ เพราะเงินของพวกเขามีแค่เท่าขี้มดเมื่อเทียบกับรายใหญ่ของโลก (ขี้มด จะเล็กขนาดไหนไม่รู้เหมือนกัน)

เขียนมาถึงตรงนี้ ระบบความคิดของระบบผลประโยชน์ จะแตกต่างจากชุดความรู้ที่คนทั่วไปมีอยู่เดิมมันจึงเป็น จิตวิทยาในการลงทุน ที่จะทำให้เราเข้าใจตลาดเก็งกำไรทั่วโลกว่าเป็นอย่างไร แล้วเราจะอยู่รอดและทำกำไรในตลาดต่าง ๆ ได้อย่างไร

เรากลับมาที่ตลาดหุ้นไทยตรง 1,800 จุด คุณพิชัย บอกจะไปถึง 2,500 จุด ก่อนหน้านี้ คุณพิชัย ก็ได้บอกว่าตลาดหุ้นจะทำจุดสูงสุดใหม่ทำลายจุดเดิมที่ 1,789 จุด ตลาดมันก็ได้ผ่านจุดสูงสุดมาเรียบร้อยตามคำทำนายนั้นแล้ว ใครที่เชื่อว่าตลาดจะเป็นขาขึ้น ก็จะได้กำไรกันไปเรียบร้อยเช่นกัน

จิตวิทยาย้อนกลับ ที่เราควรจะลองพิจารณาดูเอาเอง อย่างเช่น เมื่อเราเริ่มเล่นหุ้นเราจะได้รับชุดความรู้ที่เหมือนกันทั้งหมด ดูกราฟแบบที่เราศึกษาหาความรู้มาในแบบเดียวกันหมด เราถูกล้างสมองด้วยชุดความรู้อันเดียวกันทั้งโลก เพื่อให้เราคิดเหมือนกันและทำการซื้อขายในแบบเดียวกันหมด เหมือนการถูกครอบงำด้วยระบบทุนนิยม ด้วยระบบการตลาด การบริโภคนิยมด้วยการโฆษณากระตุ้นการซื้อสินค้าให้มาก ๆ การถูกครอบงำด้วยวัฒนธรรมตะวันตกจนลืมวัฒนธรรมของตัวเอง

 bitcoin

เมื่อเราซื้อขายหุ้นด้วยชุดความรู้เดียวกันทั้งหมด ก็จะเข้าทางรายใหญ่ระดับโลกที่จะทำตรงข้ามกับเรา เราซื้อ เขาขายให้, เราขาย เขารับซื้อไว้หมด เมื่อเราซื้อพร้อมกันจำนวนมากกว่า 90% เขาก็ขายให้เราทั้งหมดเลย ใครที่ไปเข้าตรงยอดเขาจึงออกไม่ทันก็จะติดดอย รายใหญ่ทยอยขายหุ้นให้รายย่อยเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง เมื่อปริมาณขายมากขึ้นเรื่อย ๆ ราคาของหุ้นก็เริ่มกลับตัวเป็นขาลง และรายย่อยเริ่มขายออกเพราะราคาเริ่มต่ำลง จนเกิดการขายตามกันลงมา ราคาลงมาต่ำมาก ๆ

ในระหว่างการขายหุ้นออกมานี้ รายใหญ่ก็จะรับซื้อไว้ทั้งหมดอีก จนการขายทำให้ราคาลงมาถึงจุดต่ำสุด แล้วราคาก็กลับขึ้นไปใหม่จากการเข้าซื้อหุ้นนั้นไว้ทั้งหมดโดยรายใหญ่อีกเช่นเดิม จึงเกิดเป็นวัฏจักรของราคาหุ้นแต่ละตัว

และวัฏจักรนี้ก็เกิดกับหุ้นทุกตัวในตลาด แล้วเกิดเป็นวัฏจักรใหญ่ของตลาดทั้งตลาด ทำให้ตลาดขึ้นหรือลงในแบบที่เราเห็น ในวันนี้จึงเป็นตลาดขาขึ้นจากการทำลายจุดสูงสุดเดิม และระบบวัฏจักรแบบนี้ใช้อธิบายได้แบบเดียวกันในตลาดเก็งกำไรทั้วโลก เพราะเงินของรายใหญ่อยู่ในทุกตลาดเก็งกำไร

อธิบายคำว่า คนส่วนใหญ่ คือ คนทั้งตลาดที่กำลังซื้อขายในขณะรอบที่เรากำลังพิจารณา จะเป็น วัน เดือน ปี จะมองแยกกัน เพราะแต่ละช่วงเวลาคนเข้ามาซื้อขายไม่เท่ากัน อาจจะสมมุติได้ว่า คนส่วนใหญ่ มีจำนวน 97% ของทั้งตลาด ได้แก่ รายย่อย แมงเม่าอย่างเรา ๆ ธนาคาร กองทุนในประเทศ ต่างชาติที่เป็นรายย่อย กองทุนต่างชาติที่ใช้ชุดความรู้ทั่ว ๆ ไป คือ ไม่ได้เก่งเท่ารายใหญ่ระดับโลก

อีก 3% เป็นจำนวนของ รายใหญ่ระดับโลก ที่เป็นกลุ่มทุนขนาดใหญ่มากมีเงินมหาศาลประมาณจำนวนเงินไม่ได้ อาจจะท่วมโลกได้เลย

ดังนั้น รายงานการซื้อขายของกลุ่มต่าง ๆ ในแต่ละวันก็ใช้ไม่ได้ด้วย เพราะรายใหญ่ระดับโลก จะแฝงตัวเป็นทั้ง รายย่อย กองทุนในประเทศ กองทุนต่างประเทศ แทรกซึ่มอยู่ในทุก ๆ ตลาดเก็งกำไร


สินทรัพย์อื่นไม่ว่า ทองคำ เริ่มกลับมาขึ้น น้ำมัน ยิ่งเห็นได้ชัดว่าจะไปที 65 ดอลลาร์ เพราะผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว ตลาดหุ้นไทยก็เป็นขาขึ้นเพราะซึมมานาน ตลาด Dow Jones และ Nasdaq ทำจุดสูงสุดใหม่ไปหลายครั้งแล้วในปีที่ผ่านมา

ตัวอย่าง มุมมองในแบบระบบผลประโยชน์

ช่วงนี้ SET ผ่าน 1,800 ไปได้แต่สลับขึ้นลงหลุด แนวจิตวิทยาสำคัญ ตรงนี้ลงมา ระบบผลประโยชน์จะมองว่า คนส่วนใหญ่เข้ามาเก็บหุ้นในช่วงนี้ เพราะคิดว่าต้องไปต่อแน่ ๆ SET จึงหลุดลงมาจากแรงซื้อจำนวนมากที่เข้ามาพร้อมกัน การหลุดลงมาเป็นเพราะปริมาณการซื้อทั้งหมดนั้น รายใหญ่เป็นผู้ขายให้ทั้งหมด การซื้อเกิดในวันเดียวกันจำนวนมากต่างคนต่างซื้อ แต่คนขายให้คือ รายใหญ่ แต่เพียงกลุ่มเดียว แรงส่งหรือโมเมนตัมจึงทำให้ตลาดย่อตัวลงมาจากการขายนั้น อาจจะลงไปประมาณ -10 จุด ในวันนั้น เป็นต้น

คือ จำนวนเงินที่รายใหญ่ขายหุ้นออกมาเท่ากับจำนวนเงินของคนส่วนใหญ่ทั้งตลาดที่กำลังซื้ออยู่ จำนวนเงินที่ต่างคนต่างซื้อของคนส่วนใหญ่จึงไม่มีแรงส่งเหมือนกับเงินของรายใหญ่ระดับโลกที่เป็นเงินก้อนเดียวกันทั้งหมด ที่เหมือนน้ำตกลงมาจากยอดเขา ทิศทางของตลาดจึงติดลบในวันนั้น

การอธิบายลักษณะนี้จะเป็นในสถานการณ์ปกติ ไม่มีเหตุการสำคัญอะไรเกิดขึ้นในวันนั้น คือ ไม่มีข่าวร้ายมากหรือดีมากระหว่างวัน

ถ้าสมมุติมีข่าวร้ายมากในวันนั้น เป็นไปได้ว่า รายใหญ่ อาจจะใช้จังหวะนี้ขายทำกำไรออกมาจำนวนมาก เพราะเขาซื้อมาทุกราคาในหุ้นแต่ละตัว ต้นทุนของเขาถูกกว่าคนส่วนใหญ่ทั้งตลาดอยู่แล้ว และหลาย ๆ ครั้งราคาตกลงแรงถึงขนาดตลาดหุ้นต้องสั่งหยุดการซื้อขายเลยทีเดียว


การที่รายใหญ่ขายแรง ๆ ในข่าวที่ร้ายมาก ๆ เป็นการกระทำต่อข่าวสารแบบตรง ๆ แต่ในสถานการณ์ปกติ รายใหญ่ระดับโลกจะไม่ตอบสนองตรง ๆ แบบนั้น เขาจะทำส่วนทางกับเราตลอดเพื่อทำกำไรจากเรา ดังนั้น ข่าวสาร ข้อมูลต่าง ๆ จึงมีผลต่อตลาดไม่มากเพราะรายใหญ่ไม่ได้ตอบสนองต่อข้อมูลอันนั้น แต่จะรอให้คนส่วนใหญ่ในตลาดตอบสนองต่อข่าวไปก่อน แล้วจึงทำตรงข้าม หรือ รอจับคู่ราคาหุ้นกับเราเป็นระยะ ๆ มันจึงเป็นจิตวิทยาที่ซ้อนย้อนรอยข่าวสารทั่วไปอีกชั้นหนึ่ง

การทำนายว่า ตลาดจะไปที่ 2,000-2,500 จุด เป็นเพราะคนส่วนใหญ่ไม่คิดว่าตลาดจะขึ้นไปได้ถึงขนาดนั้น ก็จะมีการทำกำไรระยะสั้นซื้อ ๆ ขาย ๆ เป็นระยะไปเรื่อย ๆ เมื่อใดที่มีปริมาณการขายของคนส่วนใหญ่พร้อม ๆ กัน ก็จะทำให้ตลาดดีดตัวขึ้นไปแรงอาจจะครั้งละ 20 จุด ต่อวัน นั้นก็เป็นเพราะรายใหญ่ได้ซื้อหุ้นที่ถูกขายออกมานั้นไว้ทั้งหมดแต่เพียงกลุ่มเดียว แรงส่งหรือโมเมนตัมจึงทำให้ราคาหุ้นพุ่งขึ้นเหมือนจุดจรวด

หุ้นปั่น ที่เราเห็นขึ้นลงแรง ๆ จึงอธิบายด้วยหลักการเดียวกันนี้ ถ้ามีคนปั่น เขาจะต้องต่อสู่กับรายใหญ่ระดับโลก บอกได้เลยว่าไม่มีทางสู้ได้แน่นอน ก็น่าจะตายคาหุ้นตัวนั้นนั่นเอง

หุ้นปั่น และ บิทคอยน์ จึงเป็นตัวอย่างของการเก็งกำไรอย่างสมบูรณ์ ไม่มีพื้นฐานอะไรมารองรับการขึ้นลงแรง ๆ นั้นเลย คือ ราคาขึ้นลงด้วยการเก็งกำไร 100% ไม่ต้องหาเหตุผลมาอธิบาย

ระบบผลประโยชน์จึงมีเรื่องจิตวิทยาอยู่ในตัวของมันอยู่แล้ว เพราะต้องมองสถานการณ์ ข้อมูลต่าง ๆ โดยใช้ความรู้ชุดใหม่ ที่คุณไม่เคยมองมาก่อนและมันจะขัดแย้งกับความรู้ชุดเดิม เพราะเราถูกครอบงำมาก่อนเป็นเวลานานแล้วด้วยชุดความรู้อันเดียวกันทั้งโลก


โลกกลม เพราะยานออกไปสำรวจ
แต่เราถูกใส่ความรู้ว่า โลกแบน
เพื่อให้เรา ขาดทุนอยู่ร่ำไป
อาเมน......


By zurrist





 






3D Moving Electronica