Money In Stocks - ออมเงินในหุ้น

วันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ทฤษฎีผลประโยชน์หุ้น 2





ทฤษฎีผลประโยชน์ในตลาดหุ้น ตอนที่ 2


ได้กลับมาเขียน blog อีกครั้งหลังจากไม่ได้เขียนมานานพอสมควร เนื่องจากส่วนนึงผมได้ทำตามทฤษฎีผลประโยชน์ โดยสนใจข่าวหุ้นน้อยลง ออกจากการคลุกวงในเพื่อให้เห็นภาพในมุมกว้างมากขึ้น ผมไปได้หนังสือเล่มแรกของ คุณพิชัย จาวลา ชื่อว่า เศรษฐศาสตร์แห่งความจริง เป็นหนังสือเล่มที่อธิบายทฤษฎีผลประโยชน์ตั้งแต่ที่มาของแนวคิด และทฤษฎีอื่นที่สัมพันธ์กัน ไม่ว่าจะเป็นทฤษฎีวิทยาศาสตร์แนวใหม่ที่มองสรรพสิ่งเป็นแบบ องค์รวม ที่แยกออกจากกันไม่ได้ โดยมีการอ้างอิงแหล่งที่มาให้เราได้ค้นคว้าต่อได้ด้วย

การเขียนเรื่องนี้ในตอนแรกก่อนหน้า ผมก็ยังงงกับแนวคิดนี้อยู่ พออ่านหนังสือเล่มนี้จบจึงเห็นอะไรมากขึ้นแล้วอยากจะเอามาแชร์ เรามาเริ่มที่ คนส่วนใหญ่ และ คนส่วนน้อย ในตลาดหุ้น ตัวเลขสมมุติจะเป็น 97% กับ 3% ซึ่งตัวเลขอาจจะเป็น 95% กับ 5% ก็เป็นไปได้ ให้เราเข้าใจว่า เป็นตัวเลขของคนซื้อและคนขายที่เกิดขึ่นของคนส่วนใหญ่และคนส่วนน้อย ที่ปริมาณเงินที่ซื้อเท่ากับปริมาณที่ขาย ถ้ามีคนซื้อ 97% แสดงว่ามีการขายออกมาของคนจำนวน 3% ที่จับคู่ match กันพอดี

ประเด็นสำคัญ คือ เมื่อเกิดการขายของคนส่วนใหญ่ที่ 97% แล้วคนส่วนน้อยที่เป็นรายใหญ่แบบ จอร์ส โซรอส อันนี้ก็สมมุตินะครับ จริง ๆ เราจะไม่รู้ว่าใครเป็นคนส่วนน้อยที่ซื้อ โซรอส เป็นคนที่เราจะนึกภาพและเข้าใจได้ว่า หน้าตาคนส่วนน้อยที่เป็นรายใหญ่และมีเงินมากเท่ากับคนส่วนใหญ่ 97% นั้นมีลักษณะแบบใด โดย โซรอส เป็นคนนึงในคนส่วนน้อย 3% นั้นเช่นกัน และการเข้าซื้อในจุดนี้ของคนส่วนน้อยทำให้ตลาดเป็น ขาขึ้น ขีดเส้นใต้บรรทัดนี้แล้วทำความเข้าใจมัน แล้วคุณจะเห็นภาพของแนวคิดนี้มากขึ้น




ในทางตรงข้าม ถ้าคนส่วนใหญ่ซื้อที่ 97% คนส่วนน้อยก็ขายให้ จึงทำให้ตลาดเป็น ขาลง อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เหมือนน้ำที่ไหลจากที่สูงลงมาที่ต่ำ โดย คุณพิชัย ย้ำว่า หุ้นจะเป็นขาลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แม้ว่าจะมีการเข้ามาแทรกแซงของสถานะการใด ๆ ก็ตาม คือไม่ว่าจะมีการเข้ามาช่วยไม่ให้หุ้นลงด้วยวิธีการใดก็ตาม ประมาณว่า ถ้าโลกจะแตกก็ไม่สามารถหยุดการลงของตลาดได้ เพราะมันเป็นโมเมนตัมของปริมาณเงินที่ขายของคนส่วนน้อยในจำนวนที่มากเท่ากับปริมาณเกือบทั้งหมดของตลาด จนทำให้ตลาดเป็นขาลงอย่างชัดเจน

เมื่อ คนส่วนน้อยซื้อ หุ้นจึงขึ้น จากการขายของคนส่วนใหญ่ 97% ของทั้งตลาด
และ คนส่วนน้อยขาย หุ้นจึงลง จากการซื้อของคนส่วนใหญ่ 97% ของทั้งตลาด ด้วยข่าวสารที่คิดว่าเป็นข่าวด้านดี ๆ การซื้อขายของคนส่วนน้อยหรือรายใหญ่แปรผันโดยตรงกับการขึ้นลงของตลาด แต่ตรงกันข้ามกับการซื้อขายของคนส่วนใหญ่ ทำให้เราต้องคิดย้อนศรจึงจะเห็นจุดกลับตัวของตลาดทั้งขาขึ้นและลง

ที่เป็นแบบนั้น เพราะเป็นปริมาณเงินจำนวนมากเท่ากับของคนส่วนใหญ่ทั้งตลาดรวมกัน หุ้นจึงขึ้นและลงไปตามโมเมนตัมของปริมาณการซื้อขายนั้น ตลาดจึงขึ้นและลงสวนทางกับเหตุผลของข่าวสารและความเป็นจริง ไม่ว่าจะเกิดสงครามโลก (หมายถึง จะไม่มีเหตุการณ์อะไรมาเปลี่ยนแปลงการขึ้นลงของตลาดได้) หรือเหตุการณ์อะไรก็ตาม ตลาดก็จะยังคงขึ้นลงตามรูปแบบนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เหมือนน้ำที่ไหลลงจากภูเขายังไงน้ำก็จะลงไปท่วมหมู่บ้านด้านล่างเพราะปริมาณน้ำเยอะมาก จึงไม่มีอะไรมาต้านหรือหยุดการลงมาของน้ำได้ เป็นการเปรียบเทียบให้เห็นภาพ

ถ้าสมมุติตัวเลขเป็น 99/1 คือ เกือบจะเป็นปริมาณเงินทั้งหมดของตลาดที่มีการซื้อหรือขายถึง 99% ดังนั้นจึงเกิดการขึ้นลงไปทางใดทางหนึ่งอย่างชัดเจน ทำให้ตลาดเป็นขาขึ้นและลงเป็นวัฏจักรของตลาด

ผมสนใจประโยคที่ว่า ทฤษฎีผลประโยชน์ นั้น เกิดขึ้นตลอดเวลาแม้แต่ในระดับเป็นวินาที แม้ว่า คุณพิชัย จะบอกว่า เราไม่สามารถจะทำกำไรทั้งในระยะสั้น กลาง ยาว ได้ แนวคิดนี้ต้องถือหุ้นในระยะยาวเพื่อไปทำกำไรในจุดที่ตลาดขึ้นไปที่จุดสูงสุด ในรอบนี้จุดสูงสุดจะเป็นประมาณที่ 1,800-2,000 จุด คือจะเกิด New high ของ SET จุดก่อนหน้านี้คือที่ 1,789 จุด แต่เหตุที่เราจะทำกำไรแบบเดย์เทรดด้วยแนวคิดนี้ทำได้ยากนั้นเอง เพราะเราไม่สามารถมองเห็นจุด 97/3 นั้นได้ในกราฟรายนาทีนั้น ถ้าทำได้ก็เป็นขั้นเทพเลยทีเดียว


ภาพโลกเสมือนจริงที่ Matrix สรา้งขึ้น



จุดที่ 97% เราจะรู้ได้อย่างไร ?

ณ วันนี้ เขียนวันที่ 29 ตุลาคม 2559 เป็นจุด 97% เพราะสถานะการณ์ทุกอย่างเลวร้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ ความเชื่อมั่นของประชาชน ข้าวของขายไม่ดี คนจับจ่ายน้อยลง อสังหาฯ คอนโด หยุดการก่อสร้างไว้ก่อน หุ้นตกวันเดียว 99 จุด รวมทั้งเศรษฐกิจโลกก็ไม่ดีไปด้วย การส่งออกของเราก็ลดลง โดยแนวคิดนี้เราเหมือนมองอยู่บนยอดเขามองลงมาที่ตัวเมืองว่า วิวของเมืองสวยหรือป่าว ไม่ลงมาคลุกกับข่าวสารมากเกินไป ซึ่งวิวของเมืองตอนนี้มีมลพิษและหมอกควันปกคลุมอยู่หนาแน่น เป็นภาพตัวอย่างของการมองภาพที่ 97% ด้วยสถานะการณ์ที่ไม่มีมุมไหนที่ดูดีเลย คุณพิชัย จึงประมาณการว่าตลาดจะทำ New high

คือ คนส่วนใหญ่จะมีการขายมากกว่าซื้อเพราะข่าวสารดูไม่ดีเอาเสียเลยในทุก ๆ ด้าน จนถึงจุดที่มีการขายจำนวนมากถึงปริมาณ 97% คนส่วนน้อยที่เป็นรายใหญ่ก็เข้ามาซื้อหุ้นทั้ง 97% นั้นเอาไว้ทั้งหมด หุ้นจึงเป็นขาขึ้นอย่างชัดเจนนั้นเอง

คนส่วนใหญ่และคนส่วนน้อยนั้น เรานับเฉพาะคนที่เข้ามาซื้อขายเท่านั้น คนที่ถือหุ้นเฉย ๆ ไม่ได้เข้าซื้อขายไม่นับ คนที่ถือเงินสดไว้ไม่เข้ามาซื้อขายก็ไม่นับ เพราะไม่มีผลกับการขึ้นลงของหุ้นในการซื้อขายในช่วงเวลานั้น ๆ

ในเวลาที่ตลาดเป็นช่วง Sideway เป็นช่วงที่คนส่วนใหญ่มีการซื้อและขายปริมาณพอ ๆ กัน รายใหญ่ก็จับคู่ราคาทั้งซื้อและขายนั้นไป จึงไม่เกิดเป็นขาลงหรือขาขึ้นให้เราได้เห็น

และการอธิบายตลาดด้วยข่าวสารต่าง ๆ นั้น ส่วนใหญ่เป็นการพูดหลังจากเกิดการซื้อขายที่ทำให้เกิดการขึ้นลงแรง ๆ ไปแล้วค่อยมาพูดอธิบายตามหลังว่าเกิดเหตุการแบบนั้นเพราะอะไร คือ ราคาเป็นตัวกำหนดข่าวที่มาตามหลัง ข่าวสารไม่สามารถกำหนดทิศทางของหุ้นได้ ถ้าได้ก็ทำได้เพียงไม่กี่วันเท่านั้น ตลาดก็จะกลับมาเป็นแนวโน้มเดิมที่จะเป็นไป


Mr. Anderson เห็นตัวเองในโลกความจริง หลังออกจาก Matrix


การจะใช้แนวคิดนี้จะต้องออกจากการคลุกวงใน ไม่รับข่าวสารได้จะดีมาก รับเฉพาะข่าวที่สำคัญ ออกมายืนที่ยอดเขาเพื่อมองวิวของเมือง จึงจะเข้าใจและนำแนวคิดนี้ไปใช้ได้ คือต้องไม่รับข้อมูลข่าวสารตลอดเวลาแบบคนถือศิลเลย คือถ้ารับข่าวสารถือว่าผิดศิล หรือเหมือนคนกินเจแต่ไปกินเนื้อ เพราะถ้าไม่ทำตามกฎเราจะไม่สามารถมองเห็นภาพใหญ่ของตลาดได้ และจะใช้แนวคิดนี้ไม่ได้ผล

ให้นึกถึงหนังเรื่อง Matrix ว่าโลกที่เราอยู่เป็นเพียงการสร้างภาพตึกรามบ้านช่องด้วยคอมพิวเตอร์ทั้งหมด ในความเป็นจริงเราอยู่ในแคบซูลและถูกลงโปรแกรมเข้าไปในสมองว่าเรากำลังทำงานอยู่ในตึกไปวัน ๆ ผู้สร้าง Matrix คือ คนส่วนน้อยที่เป็นรายใหญ่เป็นผู้ควบคุมตลาดและเป็นผู้รอทำกำไรจากคนส่วนใหญ่ คนส่วนใหญ่จึงขาดทุนมากกว่าการกำไรจากหุ้น เพราะรับข่าวสารที่เป็นขยะมากเกินไปและหลงไปกับเกมส์ของรายใหญ่ พูดได้ว่าคนส่วนใหญ่จึงขาดทุนอยู่เสมอ ๆ นั้นเอง

ตามรูปนี้จากหนังสือ โซรอส ใช้ชุดความรู้ที่ตรงข้ามกับคนส่วนใหญ่แม้ว่าคนนั้นจะจบปริญญาเอก เป็นศาสตราจารย์ดอกเตอร์ก็ตาม จะตกเป็นเหยือของรายใหญ่ที่คิดตรงข้ามกับเราตลอดเวลา ตลาดหุ้นจึงเป็นการใช้จิตวิทยาในการซื้อขายมากกว่าการใช้ข่าวสารที่มาอธิบายตามหลังราคา โดยข่าวสารนั้น ๆ จะมีผลต่อตลาดเพียงวันสองวันแค่นั้น และจะยังเป็นขาขึ้นหรือลงตามโมเมนตัมในช่วงนั้น ๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่ดี ในหนังสือพูดถึง นอสตราดามุส ที่พยากรณ์อนาคตด้วยหลักการคล้าย ๆ กันนี้ ประมาณว่าจะเกิดเหตุการบางอย่างที่สำคัญขึ้นในอนาคตที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน ดังนั้นชุดความรู้ที่รายใหญ่ใช้นั้นจะตรงข้ามเหมือนกระจกเงากับคนส่วนใหญ่ตลอดเวลา





ทฤษฎีผลประโยชน์นี้นำไปใช้ได้กับทุกตลาด ไม่ว่าจะเป็น ทองคำ ค่าเงิน ตลาดหุ้นต่างประเทศ หรือแม้แต่การทำธุรกิจ คุณพิชัย ก็ใช้แนวคิดนี้ อย่างเช่น ลงทุนอสังหา ฯ ในช่วงตกต่ำนี้เพราะเป็นจุดที่แย่ที่สุดแล้ว เมื่อสร้างตึกเสร็จเศรษฐกิจก็จะฟื้นกลับมาพอดี เป็นต้น โดยคำว่า ผลประโยชน์ นั้นคือ ผลประโยชน์ของคนส่วนน้อยที่เป็นรายใหญ่จำนวน 3% ของตลาด ถ้าคนส่วนใหญ่มี 97 คน คนส่วนน้อยจะมี 3 คน ที่ได้ประโยชน์จากการทำกำไรจากคน 97 คนนั้น ที่เป็นผู้เสียประโยชน์หรือขาดทุน ตลาดเวลา

ส่วนแนวคิดแบบ VI สัมพันธ์กับแนวคิดนี้ตรงที่ ไม่มีการกะเก็งวงจรของตลาดในระยะสั้น แต่ถือหุ้นในระยะยาว กลุ่ม VI จึงไม่มีผลต่อการขึ้นลงของตลาดเพราะพวกเขาไม่ได้ซื้อขายหุ้นบ่อย ๆ เหมือนกลุ่มที่เล่นแบบเก็งกำไร และในเวลาที่ VI ขายแล้วได้กำไร จึงรวมอยู่ในคนส่วนน้อยที่ 3% ตามแนวคิดนี้


จงลืมสิ่งที่คุณรู้ และใช้ความรู้ชุดใหม่


By zurristic









VDO ล่าสุดในวันที่  28 กันยายน 2559







3D Moving Electronica







ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น