Money In Stocks - ออมเงินในหุ้น

วันศุกร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2560

ผู้คุมตลาดหุ้น




รายใหญ่ผู้คุมตลาดเก็งกำไร


มีข่าวเมื่อวันสองวันที่ผ่านมาว่า คนที่รวยที่สุดในโลก 8 คน มีเงินเท่ากับคนจนทั้งหมดครึ่งโลก คนรวยไม่กี่คนในโลกจึงเป็นผู้ผูกขาดและกำหนดความเป็นไปของโลกได้ มีใครไม่เล่นเฟสบุคบ้าง ลุง ป้า น้า อา ก็มีใช้กัน มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก มีทรัพย์สิน 45,000 ล้านดอลลาร์ ในเวลาเพียง 13 ปี อาจจะใช้เวลาน้อยกว่าอีก 7 คน นั้นด้วยซ้ำในการเป็นผู้รวยที่สุดในโลก

ทฤษฎีผลประโยชน์ พิสูจน์ด้วยข้อมูลที่ผ่านมาในอดีต (จากหนังสือของ พิชัย จาวลา) แล้วว่า การซื้อมาก และ การขายมาก (overbought, oversold) จะกำหนดทิศทางของตลาดเก็งกำไร ซื้อมาก คือ สินทรัพย์นั้นถูกซื้อไว้ในมือของคนส่วนใหญ่จำนวน 70% ขึ้นไป และ ขายมาก ก็ตรงข้าม คือ สินทรัพย์นั้นถูกขายออกไปเหลืออยู่กับคนส่วนใหญ่ต่ำกว่า 30% หรือขายออกไป 70% นั้นเอง และ 70% นี้รายใหญ่เป็นผู้รับซื้อไว้ทั้งหมด รายใหญ่หรือคนส่วนน้อย ที่ว่านี้จึงกำหนดทิศทางการขึ้นลงของตลาด เพราะคนส่วนน้อยที่เป็นรายใหญ่สมมุติมี 5% ใช้เงินจำนวนเท่ากับคนส่วนใหญ่จำนวน 95% เพื่อซื้อสินทรัพย์ 70% นั้นไว้ทั้งหมด




เราได้เห็นแล้วว่า 8 คนรวย มีเงินเท่ากับคนจนครึ่งโลก ในตลาดเก็งกำไรก็เช่นกัน คนรวยที่เป็นรายใหญ่ไม่กี่คนมีเงินเท่ากับคนทั้งโลกที่อยู่ในตลาดเก็งกำไร เมื่อคนส่วนใหญ่ขายออกมามาก คนส่วนน้อยซื้อไว้ทั้งหมด จึงทำให้ตลาดเป็นขาขึ้น ในทางตรงข้าม เมื่อคนส่วนใหญ่ซื้อของไว้จำนวนมากกว่า 70% ที่มีในตลาดทั้งหมดอาจจะซื้อมากจนถึง 80-90% โดยคนส่วนน้อยเป็นผู้ขายให้ทั้งหมด ตลาดจึงเป็นขาลง จากการขายของคนส่วนน้อย ที่เป็นการเทขายของออกมาจำนวนมากเกือบทั้งหมดของตลาดเหมือนน้ำในเขื่อนที่แตกแล้วไหลลงจากยอดเขา จึงไม่มีอะไรหยุดการลงของตลาดได้เพราะเป็นสินทรัพย์เกือบทั้งหมดของตลาดถูกเทขายออกมา ไม่ว่าเศรษฐกิจของโลกจะดีแค่ไหนก็ตามก็จะหยุดการลงของตลาดไม่ได้ เพราะตลาดถูกกำหนดโดยปริมาณการซื้อและการขายเท่านั้น ไม่ได้ถูกกำหนดด้วยสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายนอกตลาด




พอดีเปิดเพลง Unstoppable Momentum น้ำจากเขื่อนที่ว่ามันเป็น Momentum ของปริมาณการขายจำนวนมากที่ไม่มีอะไรมาหยุดได้-Unstoppable ถ้าเป็นขาขึ้น ก็จะเหมือนจรวดที่มีพลังงานเท่ากับเงินทั้งหมดของตลาดเข้าซื้อ ไม่มีอะไรมาหยุดจรวดให้ขึ้นไปได้ เปรียบเทียบให้เห็นภาพแบบนี้ มีอีกมุมมองหนึ่งมองว่า รายใหญ่เพียงแค่รอจับคู่ match ราคาซื้อขายกับเราเท่านั้นเอง และโมเมนตัมของขาขึ้นและขาลงมันจะเกิดขึ้นเองเมื่อเกิด การซื้อมาก-ขายมาก จากการที่คนส่วนใหญ่ซื้อหรือขายดหมือนกันหมดทั้งตลาด ตลาดก็จะกลับตัวไปในทิศตรงข้ามกับการซื้อขายของคนส่วนใหญ่โดยอัตโนมัติ คนส่วนใหญ่ซื้อ ตลาดจึงลง และ คนส่วนใหญ่ขาย ตลาดจึงขึ้น เพราะรายใหญ่หรือคนส่วนน้อยจับคู่ราคาตรงข้ามกับคนส่วนใหญ่อยู่ตลอดเวลานั้นเอง

แล้วรายย่อยอย่างเราควรทำอย่างไร ?

แมงเม่าตัวเล็ก ๆ อย่างเราก็ควรเป็นเหมือน เหาฉลาม เกาะไปกับพี่ฉลาม เขาไปไหนเราไปด้วยและทำกำไรไปพร้อมกับรายใหญ่ แล้วจะเกาะไปได้ยังไง ? ก็ด้วยทฤษฎีผลประโยชน์ที่ได้อธิบายการคิดย้อนศรในตลาดเก็งกำไรที่ว่ามานี้


Bitcoin


สถานการณ์และข่าวสารต่าง ๆ มีผลกับตลาดเก็งกำไรเพียงแค่วงจรเล็ก ๆ ไม่กี่วันในวงจรใหญ่ที่เป็นเดือนเป็นปี จึงมีผลต่อการขึ้นลงของตลาดน้อยมาก การซื้อมาก หรือ ขายมาก จะเป็นจุดกลับตัวของตลาดเก็งกำไรไม่ว่าจะเป็นสินทรัพย์อะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็น หุ้น ค่าเงิน ทองคำ น้ำมัน รวมทั้ง Bitcoin ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า สถานการณ์ เหตุผล คำอธิบาย จึงมาตามหลังการขึ้นหรือลงของตลาดเสมอ ๆๆๆๆ การวิเคราะห์อะไรทั้งหลายแบบทั่วไปจึงไม่ใช่สิ่งที่จะอธิบายความเป็นไปของตลาดเก็งกำไรได้

มีความเชื่อกันว่า รายใหญ่ที่ว่านั้นจะมีโปรแกรมเทรดที่เป็น Robot ช่วยซื้อขายหุ้นหรือสินทรัพย์อื่นอยู่ตลาดเวลา เพื่อเก็บหุ้นและขายให้ในราคาที่พวกเขาจะได้เปรียบตลอดเวลา ตลาดเก็งกำไรจะมีสภาพคล่องสูงมาก คุณขายก็มีคนรอรับซื้อ คุณซื้อก็มีคนพร้อมขายให้ตลอดเวลา ทุก ๆ ราคาที่เราต้องการ ถ้าใครที่เล่น Derivative Warrant (DW) นั้นก็เป็น Robot ที่จะทำราคาให้ขึ้นลงตามหุ้นตัวแม่ ฉนั้นมันไม่ได้ยากเลยที่รายใหญ่จะมี Robot ช่วยเทรดด้วยเงินจำนวนมหาศาลที่เขามี ทฤษฎีผลประโยชน์จึงใช้อธิบายวงจรสั้น ๆ แบบ Day Trade ได้ด้วยว่าการขึ้นลงของสินทรัพย์นั้น ๆ ก็เป็นวงจรของ การซื้อมาก-ขายมาก โดยมีรายใหญ่อยู่ในวงจรนั้นตลอดเวลา (รายละเอียดในลิงค์ กำไรหุ้นย้อนศร)

รายใหญ่ในตลาดเก็งกำไรเป็นใคร ?

1 ใน 8 มี วอร์เรน บัฟเฟตต์ คุณปู่เจ้าพ่อตลาดหุ้นรวยเป็นอันดับสาม แต่สำหรับการเก็งกำไร คนที่คนส่วนใหญ่รู้จักคือ จอร์ส โซรอส ที่เชื่อกันว่าเขาเป็นหนึ่งในรายใหญ่ที่ถูกอธิบายด้วยทฤษฎีผลประโยชน์ว่า เขาจะซื้อและขายจับคู่การเทรดในราคาที่เขาได้เปรียบตลอดเวลา ซึ่งในความเป็นจริงก็ไม่รู้ว่ามีใครบ้างที่เป็นรายใหญ่ แต่ โซรอส เป็นภาพตัวอย่างที่เราจะเข้าใจระบบการเก็งกำไรนี้ได้

ในยูทูบพูดถึง ลัทธิทรัมป์ เป็นปรากฎการณ์ที่อเมริกาต้องการคงความเป็นเจ้าโลกไว้ จึงเลือกทรัมป์เป็นตัวแทนของกลุ่มผู้มั่งคั่งที่ทรงอิทธิพลในอเมริกา (CFR) ระบบการเลือกตั้งของอเมริกาจึงเป็นเพียงระบอบประชาธิปไตยที่จอมปลอม เพราะประชาชนต้องเลือกผู้ออกเสียงแทนเพื่อไปเลือกประธานาธิบดีอีกต่อหนึ่ง โดยกลุ้มผู้ออกเสียงแทนประชาชนนี้เป็นใครมาจากไหนละ สุดท้ายพวกเขาเลือกทรัมป์ แม้ว่าประชาชนส่วนใหญ่จะะเลือก ฮิลลารี ก็ตาม




ประชาชนจึงไม่ได้คนที่ตนเองต้องการเพราะคนที่จะเป็นประธานาธิบดีถูกเลือกจากกลุ่มคนไม่กี่คนนี้ ที่ไม่อาจคิดเป็นอื่นได้ว่าถูกกำหนดมากจากผู้ทรงอิทธิพลดังกล่าว จะเห็นได้ว่าโลกถูกกำหนดชะตากรรมด้วยคนเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ว่าจะให้เกิดสงครามที่ประเทศใด ใครเป็นพระเอกหรือเป็นผู้ร้ายก็กำหนดได้หมด ลองให้ 007 เป็นผู้ร้าย แล้วสายลับ KGB หรือสายลับ จีน เกาหลีเหนือ เป็นพระเอกบ้างจะได้ไม๊ละ ถ้าจีนสร้างหนังเองก็ทำได้ รายใหญ่จึงมีในทุกที่ของโลกไม่ว่าในระบบใด วงการใด ประเทศใด ก็ตาม

ถ้าน้ำมันจะหมดโลกจริง ๆ ราคาจะต้องสูงกว่า 140ดอลลาร์/บาร์เรล เชลล์แก๊สหรืออะไรก็แล้วแต่ไม่ได้มีผลต่อราคาน้ำมันแต่อย่างใด ถ้าทองคำขุดมาจะหมดแล้ว ราคาก็ต้องไปที่ 1,800ดอลลาร์/ออนซ์ รถพลังงานไฟฟ้าจึงจำเป็นต้องมีมาให้ใช้กัน เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาน้ำมัน ถ้าราคาแบตเตอร์รีที่ใช้เก็บไฟราคาต่ำลงกว่าลูกละแสน จึงจะน่าซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้เพราะรถจะมีแบตฯ สองลูกเพื่อเก็บไฟ ก็สองแสนบาท ใช้ได้ห้าปีต้องเปลี่ยนแบตฯ ตกเดือนละ 3,300บาท/เดือน เอาไปรวมกับค่าไฟที่ชาร์ตเข้ารถในแต่ละเดือน ค่าไฟก็ไม่ถูกเท่าไหร่เดาเอาว่าเฉพาะที่ใช้ชาร์ตไฟเข้ารถคงหลายพันต่อเดือนอยู่ รวมแล้วประมาณ 4-5,000 บาท จะต่างจากใช้น้ำมันหรือป่าว


ทองคำ


ทฤษฎีผลประโยชน์จึงประมาณการ โดยใช้ค่า RSI ดูปริมาณการซื้อมาก-ขายมาก และดูความเชื่อของคนส่วนใหญ่ว่าคิดเหมือนกันหมดหรือยัง เช่น เศรษฐกิจไทยไม่ดี หุ้นไปที่ 1,700-1,800 ไม่ได้แน่ ดังนั้น SET จึงจะทำจุดสูงสุดใหม่ในรอบนี้ เป็นต้น และ
ทองคำ น่าจะไปที่ 1,500 ดอลลาร์
Bitcoin ไปที่ 1,500 ดอลลาร์ เท่ากับทองคำเลย
SET ไปที่ 1,800 จุด
เงินบาทไปที่ 40 บาท/ดอลลาร์ คือ ดอลลาร์ จะแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลหลักของโลกไม่ว่าจะ เยน ยูโร หยวน
ด้วยกลไกการ ซื้อมาก และ ขายมาก นั้นเอง อาเมน....


ออกมายืนให้ห่างจากตลาด
จึงจะได้ปลาเหงือกแดง ๆ


By zurrist






** เขียนบทความจากการอ้างอิง ทฤษฎีผลประโยชน์ ของคุณ พิชัย จาวลา



ราคาทองคำ และ ค่า RSI เส้นสีเหลืองกรอบล่างสุด


ราคาน้ำมัน


SET




วิทยากร รศ.ดร.ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ 
อาจารย์สาขาวิชา เศรษฐศาสตร์การเมือง มหาวิทยาลัยจุฬาฯ







3D Moving Electronica









วันอาทิตย์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2560

เก็งกำไร Bitcoin







ทำกำไรด้วย Bitcoin


ที่มาที่ไปของ bitcoin คงพอจะรู้กันมาบ้างแล้วว่า เป็นแร่อิเล็กทรอนิกส์ที่มีค่าพอๆ กับทองคำ เขาใช้คำว่า Mining ที่แปลว่า เหมืองแร่ ซึ่งหมายถึง แร่ที่มีอยู่ในดินแบบ ทองคำ เพชร เงิน ทองแดง โดยสร้างขึ้นมาด้วยระบบคอมพิวเตอร์และอินเตอเน็ตเพื่อเลียนแบบแร่ในธรรมชาติ และมุ่งหวังที่จะให้มันมีมูลค่าเหมือนแบบที่ทองคำเป็น จึงทำในจำนวนจำกัดทั้งหมดอยู่ที่ 21ล้านบิทคอยน์ เท่านั้น จากวันเริ่มต้นที่ 0ดอลลาร์ บิทคอยน์เคยขึ้นไปถึง 1,165ดอลลาร์สหรัฐ ช่วงปีใหม่ขึ้นไปเท่ากับราคาทองคำที่ประมาณ 1,146$

บิทคอยน์เกิดจากเทคโนโลยีที่ชื่อว่า Blockchain ที่จะเป็นการพัฒนาระบบอินเตอร์เน็ตใน generation ที่ 2 block แปลว่า กล่อง chain แปลว่า โซ่ เป็นรูปแบบที่จะมี กล่องของผู้ใช้แต่ละคนและเชื่อมต่อกันไปเหมือนโซ่ ซึ่งจะทำให้ไม่สามารถเจาะระบบหรือ hack เข้าไปได้ง่ายจึงมีความปลอดภัยสูงมาก และ blockchain ยังจะเป็นประโยชน์อีกหลายด้าน เช่น ลิขสิทธิ์ โฉนดที่ดิน การเก็บข้อมูลลับ จะช่วยป้องกันความเป็นเจ้าของได้โดยผู้ไม่หวังดีจะไม่สามารถมาสวมสิทธิ์หรือละเมิดทรัพย์สินของเราได้ วงการเพลงกำลังจะใช้ระบบนี้เพื่อจัดการกับปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ เป็นต้น

ทั่วโลกมีการใช้บิทคอยน์ในการทำธุรกรรมเหมือนเงินปกติ ของบ้านเราก็สามารถเติมเงินมือถือได้สะดวกเลย ร้านค้า โรงแรมในไทยรับชำระเงินด้วยบิทคอยน์ก็มีเหมือนต่างประเทศ ที่น่าสนใจคือ amazon ผู้ค้าออนไลน์รายใหญ่ของโลกก็รับบิทคอยน์เช่นกัน




หลายปีก่อนมีข่าวที่ ประเทศไซปรัส เป็นเกาะเล็กๆ ในทะเลเมดิเตอร์เลเนียนใกล้กับซีเรียและตุรกี ในช่วงนั้นธนาคารจะล้มละลายรัฐบาลสั่งจำกัดการถอนเงินจากธนาคารไม่ให้ถอนเกินที่กำหนดในแต่ละวัน ถ้าเกิดกับเรามีเงินสักแสนบาทแล้วถอนไม่ได้ เราคงอยากจะบุกไปเอาเงินจากธนาคารแล้วไม่ต้องว่ามีถึงหลักล้าน บิทคอยน์จึงได้รับความสนใจในวงกว้างมากขึ้น

สมมุติถ้าเกิดสงครามโลกแล้วเราจะถือทองคำไว้กับตัวก็คงจะไม่ปลอดภัย การมีบิทคอยน์จึงมีความปลอดภัยกว่ามากจึงทำให้บิทคอยน์ได้รับความสนใจจากคนทั้วโลกในช่วงนี้ ดูกระเป๋าเก็บบิทเคอยน์แบบพกพาในยูทูบด้านล่างถ้าจะเพิ่มความปลอดภัยมากขึ้น ถ้าถูกขโมยไปก็จะเอาบิทคอยน์ของเราออกมาไม่ได้เพราะมีรหัสหลายชั้น เราสามารถ Recover กลับมาได้ด้วยรหัสที่เรามีอยู่ จึงเป็นระบบเงินอิเล็กทรอนิกส์ที่สมบูรณ์แบบมาก ในเบื้องต้นเราไม่ต้องมี wallet พกพาก็ได้ มี wallet ในเว็บไซด์ก็ปลอดภัยแล้ว


การเติมเงินมือถือ
และการโอนเงินหรือเรารับเงินจากคนอื่น จะใช้ที่อยู่แบบในภาพนี้ 



ในไทยเราสามารถเทรดบิตคอยหรือแลกเงินได้สะดวกพอสมควร โดยเข้าไปที่เว็บลิงค์ด้านล่างสมัครใช้งานด้วย username, password ปกติ ค่าธรรมเนียมการเทรด 0.25% แต่เราต้องถ่ายบัตรประชาชนส่งไปเพื่อยืนยันตัวตนซึ่งเว็บของต่างประเทศก็ต้องทำเหมือนกัน และควรมี กระเป๋าเก็บเงิน หรือ wallet ไว้อีกสักเว็บ เพื่อการโอนถ่ายเงิน

การนำเงินเข้าพอร์ตบิทคอยน์จะโอนผ่านธนาคารตามปกติ แต่พอร์ตจะไม่มีการแสดงกำไรขาดทุนเหมือนพอร์ตหุ้นสำหรับเว็บที่ผมใช้อยู่นี้ ถ้าจะมีระบบพอร์ตที่สมบุรณ์ต้องใช้เว็บของต่างประเทศดูได้จากลิงค์ด้านล่าง ซึ่งค่าธรรมเนียมอาจจะแพงกว่า มีการเปลี่ยนสกุลเงินหลายทอด คือ จาก บาท เป็น ดอลลาร์ แล้วเป็น บิทคอยน์ ทำให้เรามีต้นทุนเพิ่มมากขึ้นกับการผันผวนของค่าเงินแต่ละสกุล 

แต่ถ้าคิดว่าสามารถทำกำไรใน เงินบาทกับดอลลาร์ ได้อีกก็ยิ่งดีกับเรา เช่น ถ้าเงินบาทจะไปที่ 40บาท ในสามเดือนข้างหน้านี้ เราเล่นบิทคอยด้วยดอลล่าร์ แล้ววันนั้นแลกกลับเป็นเงินบาทเราก็จะได้ส่วนต่างระหว่าง 35-40บาทต่อดอลลาร์ บิทคอยน์มีการเทรด 24ชม. ไม่มีวันหยุด ทองคำจะหยุดเทรดวันอาทิตย์ ใครอยากเทรดบ่อยๆ เสาร์อาทิตย์ว่างๆ ก็จะเทรดได้ตลอดเวลา จะมีความเสี่ยงตอนเราหลับละครับ

ข้อดีอีกอย่างคือ เปิดพอร์ตง่ายกว่าพอร์ตหุ้น หลังจากลงทะเบียนเข้าใช้เว็บแล้วโอนเงินเท่าไหร่ก็ได้ ประมาณสามสิบนาทีเงินเข้าระบบก็เทรดบิตคอยได้เลย คนที่ยังไม่เคยเทรดเริ่มจาก 1BTC หรือ หนึ่งหน่วยของบิตคอย เท่ากับเงินดอลลาร์สหรัฐสมมุติที่ 900$ คูณ 36บาท จะเป็น 32,400บาท


ราคาตลาดโลก


ราคา BID คือ ราคาที่เราจะขายออก ส่วน ASK เป็นราคาที่เราจะเข้าซื้อ ตามรูปภาพ เราจะเข้าซื้อที่ราคา 34,450บาทต่อ 1BTC ถ้าซื้อด้วยเงิน 3,000บาท จะได้บิตคอยมาจำนวน 0.087BTC เมื่อราคาขยับขึ้นไปเราจึงหาจังหวะขายทำกำไร หรือถ้าราคาต่ำลงเราซื้อเพิ่มแล้วรอการกลับตัวขึ้นไปใหม่ ราคาของบิตคอยจะขึ่นลงระหว่าง 700$-1,100$ จึงมีช่วงราคาที่เราจะทำกำไรได้ไม่ยากนัก และแน่นอนก็จะมีการขาดทุนได้ด้วยเช่นกัน จะต้องดูราคาตลาดต่างประเทศที่เป็นดอลลาร์ด้วยตลอดเวลาเพราะราคาบิทคอยน์ต่อบาทจะวิ่งตามราคาตลาดโลกเหมือนกับทองคำที่อิงราคาตลาดโลก




สำหรับนักเทรด บิทคอยน์น่าสนใจมากจะเป็นระบบเงินที่จะมาในอนาคตโอนข้ามโลกด้วยค่าธรรมเนียมที่ถูกมาก และเป็นเหมือนหลุมหลบภัยให้เราได้ในวันที่จำเป็นกับสถานการณ์ของโลกที่ไม่ปกติ สิ่งที่มือใหม่ควรรู้คือ ในไทยไม่มีกฎหมานรับรองการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศรวมทั้งบิตคอตน์ เนื่องจากกฎหมายตามเทคโนโลยีไม่ทัน อ่านเพิ่มเติมในกฎหมาย พรบ. ด้านล่าง


By zurrist




-- https://bx.in.th/  เทรดบิทคอยต์ด้วยบาท
--https://bitwall.me/  ผู้ให้บริการ  wallet ของไทย
--https://cex.io/buysell  เทรดบิทคอยน์ด้วยดอลลาร์
--https://bitcoincharts.com/markets/currency/USD.html  ราคาในตลาดโลก
--https://coinmap.org/#/world/12.69929178/101.98059082/8   ร้านค้าในไทยที่รับบิทคอยน์
---พรบ.ควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน



Ethereum แร่ที่มีค่ารองจากบิทคอยน์ แต่มีค่าเพียง 7-9$ เท่านั้น



Wallet พกพา แบบแฮนดี้ไดร์



ระบบ blockchain

ระบบที่เป็นแบบใยแมงมุม ทำให้การเจาะระบบทำได้ยากมาก



ชุดคอมพิวเตอร์ที่ใช้ขุดบิทคอยน์ เหมือนการทำเหมืองแร่
เราจะขุดเองก็ได้ แต่เครื่องคอมพิวเตอร์ธรรมดาอาจใช้เวลาหลายเดือนกว่าจะได้บิทคอยน์มา







3D Moving Electronica