Money In Stocks - ออมเงินในหุ้น

วันอาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

กำไรหุ้นแบบย้อนศร





Day Trade ด้วยทฤษฎีผลประโยชน์


คุณพิชัย บอกว่า ทฤษฎีผลประโยชน์นั้นเกิดขึ้นตลอดเวลาไม่ว่าในช่วง วินาที นาที ชั่วโมง วัน เดือน ปี ถ้าเป็นแบบนั้นเราจะอธิบายการขึ้นลงของหุ้นรายตัวในการเก็งกำไรรายวันได้หรือป่าว แม้ว่า คุณพิชัย จะบอกว่าทำได้ยากที่จะหาจุดซื้อขายได้ในระยะสั้นและยากที่จะทำกำไรได้

เราลองใช้กราฟมาอธิบายด้วยทฤษฏีดู เมื่อเปิดตลาดเรามองหาจุดที่ คนส่วนใหญ่เริ่มขาย จนถึงจุดที่มีการขายของคน 90% โดยเป็นการสมมุติประมาณการเพราะเราจะไม่รู้ว่าจำนวนจริงๆ ของคนส่วนใหญ่จะเป็นเท่าไหร่ และคนส่วนน้อยก็จะเป็น 10% ที่เข้ามาซื้อขายในหุ้นตัวนี้ อาจจะเป็น 95/5 ก็ได้ เป็นเพียงการประมาณการเท่านั้น โดยคนส่วนน้อยจะมีน้อยในความเป็นจริง อย่างเช่น จอร์ส โซรอส ที่เราพอรู้จักกัน แต่จะมีคนแบบนี้ทั้งโลกไม่กี่คน จึงเรียกว่าเป็นคนส่วนน้อย

จุดที่คน 90% ขาย และ RSI ลงต่ำสุด ในรอบที่เล่นนี้ เป็นจุดกลับตัวขึ้นของหุ้นจากการขายของคนส่วนใหญ่ และเป็น จุดเข้าซื้อของเรา ที่จะเกาะไปกับคนส่วนน้อยที่เป็นรายใหญ่ที่เข้าไป match ราคา เราเอาทฤษฏีมาใช้จึงอธิบายได้แบบนี้ว่าหุ้นตัวนี้ขึ้นไปเพราะรายใหญ่เข้าเก็บในราคาที่คนสว่นใหญ่ขายออกมาไว้ทั้งหมด โดยต้องบอกก่อนว่าเราจะไม่รู้ว่าความจริงเป็นแบบนี้หรือป่าว เป็นการสมมุติฐานว่าอธิบายได้แบบนี้




ในกรณีถ้าคิดว่ามีคน ปั่นหุ้น แต่ละตัวที่เราเข้าเล่นด้วย คนปั่นหุ้นเขาจะเข้าซื้อหรือไล่ราคาก็สุดแล้วแต่ เราจะมองว่าคนปั่นหุ้นตัวนี้ก็อยู่ในกลุ่มคนส่วนใหญ่ด้วยแต่มีเงินมากกว่ารายย่อยทั่วไป แต่ว่ามีเงินไม่มากไปกว่าคนส่วนน้อย 10% ที่เป็นรายใหญ่ คนปั่นหุ้นก็อาจจะขาดทุนได้เหมือนรายย่อยทั่วไป หรืออาจจะได้กำไรไปกับคนส่วนน้อยก็เป็นไปได้ คือ ให้มองคนปั่นหุ้นเป็นคนส่วนใหญ่ที่รวมอยู่ใน 90% นั้น

เมื่อ RSI ไปที่ 90% เราก็เตรียมขายเพื่อทำกำไร เพราะคนส่วนใหญ่และคนปั่นหุ้นได้เข้ามาไล่ราคาตามแท่งราคาที่ขยับขึ้นไปจนปริมาณซื้อมาก คนส่วนน้อย 10% นั้นก็ขายหุ้น match ราคากับคนส่วนใหญ่ที่เข้ามาซื้อ หุ้นก็จะเริ่มย่อตัวลง โดยคนส่วนใหญ่ก็จะขาดทุนจากการตามไล่ราคา และคนส่วนน้อยก็จะได้กำไรไปเรียบร้อยแล้วเมื่อเกิดการ match ราคาตลอดช่วงเวลานั้น อาเมน!!

โดยกราฟที่เห็นนี้ เป็นรูปแบบที่เราเห็นปกติอยู่แล้ว แต่เรามองในมุมของทฤษฎีผลประโยชน์จึงอธิบายจุดซื้อและขายรวมทั้งผู้เข้ามาเล่น แตกต่างจากการมองแบบปกติ




จุดซื้อที่เราต้องเข้า คือ RSI ลงต่ำสุด ADX เส้นปริมาณซื้อ-สีเขียวตัดขึ้นไป เครื่องมือทุกเส้นตัดขึ้น เป็นจุดซื้อตามรายใหญ่ ใช้กราฟราย 1 นาที จะได้เข้าซื้อทันเพราะรอบการเล่นจะประมาณ 30 นาที และกราฟรายวินาที จะไม่เห็นเทรนและแท่งราคาชัดเจน การเข้าที่จุดนี้จะช่วยลดการขาดทุนได้ด้วย เพราะจะไม่เสี่ยงมาก ถ้าเราเข้าในแท่งราคาที่ขยับขึ้นไปแล้ว แต่หุ้นไม่วิ่งแล้วกลับตัวลงมาเราจะออกไม่ทัน

เราควรเลือกหุ้นที่มีปริมาณการซื้อขายมากๆ เป็น 1 ล้านหุ้นขึ้นไป ยิ่งมากยิ่งดี และต้องเข้าใจว่าหุ้นตัวนั้นอาจจะไม่วิ่งขึ้นไปสูงตามที่คิดก็ได้ อาจจะวิ่งไป 4-5 แท่งราคา แล้วก็หยุดวิ่งก็ได้ การเลือกหุ้นที่มีปริมาณซื้อขายมากๆ ราคาก็มีแนวโน้มจะขึ้นไปมากด้วย หุ้นบางตัวเล่นรอบแรก 10.00 น. แล้วมาเล่นอีกรอบตอน 16.00 น. ก็มี เล่นได้สองรอบเลย จึงไม่อาจจะบอกได้ว่าเราเข้าแล้วหุ้นตัวนั้นจะวิ่งหรือป่าว ถ้าเราไม่อยากเฝ้านานก็ต้องขายทิ้งไปก่อน


e-fin F6


การเลือกหุ้นเราใช้ช่อง Ticker ในหน้าหลักร่วมกับหน้า Top Gainer ผมตัดไม่ให้แสดงหุ้นตัวปกติที่ setting จะเน้นดูที่หุ้น warrant เป็นหลักเพราะจะวิ่งให้เห็นบ่อยกว่า และจะมี e-fin F6 ที่แสดงหุ้นที่มีการซื้อขาย 1,2,3 ช่องตามลำดับ ถ้า 3 ช่อง (spread) ก็คือ ราคาขยับที่เดียวสามช่องเลย คือมีการเข้าซื้อมาก ก็ใช้เลือกหุ้นช่วยกัน ในวันที่ตลาดลง warrant ก็อาจจะวิ่งได้ดีกว่าวันตลาดขึ้น อาจเป็นเพราะคนไปเล่นหุ้นตัวเล็กมากกว่าในการเก็งกำไร


Ticker ช่องขวามือ หุ้นที่จะวิ่ง จะเห็นเป็นชุดๆ แบบนี้


ทั้งหมดนี้ผมเอามาอธิบายเองนะครับ ผู้สนใจต้องอ่านหนังสือของคุณพิชัย และศึกษาเพิ่มเติมเพื่อให้เข้าใจทฤษฎีนี้มากขึ้น เพราะคุณพิชัยให้ลงทุนระยะยาวหรือเล่นเป็นรอบ ไม่แนะนำให้เล่นสั้นเนื่องจากเราจะมองหาจุด 90/10 นั้นจากวงจรรายวันได้ยาก

เราต้องเชื่อแนวคิดนี้ 100% จึงจะใช้ทฤษฎีนี้ได้ผล โดยมองข่าวสารและเหตุผลว่าไม่สามารถกำหนดทิศทางขึ้นลงของตลาดได้แบบแปรผันกันโดยตรง ถ้าเชื่อครึ่งๆ กลางๆ เราจะมองไม่เห็นจุดกลับตัวขึ้น-ลงของตลาด

ถ้ามีการซื้อขายในวันนั้นทั้งตลาด 30,000 ล้านบาท สมมุติเมื่อคนส่วนใหญ่ขายทั้งตลาด แล้วคนส่วนน้อย (รายใหญ่) เข้ามาซื้อไว้ทั้งหมดในจำนวน 30,000 ล้าน นั้น เพื่อให้เห็นภาพของโมเมนตัมของปริมาณเงินที่ทำให้ตลาดเป็นขาขึ้นในวันนั้น ในตลาดขาลงก็จะตรงข้ามกัน รายใหญ่ขายทั้งหมด 30,000 ล้าน ให้กับการซื้อของคนส่วนใหญ่ ตลาดจึงเป็นขาลงในวันนั้น เพราะเป็นการขายของรายใหญ่ในจำนวนเงินทั้งหมดของทั้งตลาด




ในหนังสือ The Turning Point ของ Fritjof Capra มีหัวข้อ ทางตันของเศรษฐศาสตร์ (The Impasse of Economics) บางคนแปลว่า เศรษฐศาตร์นั้นตายแล้ว และ วิทยาศาตร์ยุคเก่าของ ไอเซค นิวตัน ก็ถึงทางตันเช่นกัน ที่โดนหักล้างด้วย ทฤษฎีฟิสิกส์ยุคใหม่ ของ ไอน์สไตน์ เหตุเพราะทั้ง หลักเศรษฐศาสตร์ และ หลักฟิสิกส์ของนิวตัน เป็นการคิดแยกส่วน อธิบายเรื่องต่างๆ เป็นส่วนๆ แยกจากกัน จึงไม่สามารถใช้ได้ในโลกของความเป็นจริงที่ทุกอย่างสัมพันธ์กันหมด สูตรของเศรษฐศาสตร์มีการให้ตัวแปรอื่นๆ ที่ไม่ได้ศึกษาคงที่ เพื่อศึกษาเฉพาะตัวแปรที่ให้ความสนใจ จึงไม่สามารถอธิบายภาคธุรกิจโลกที่มีความซับซ้อนได้

ดังนั้น ทฤษฎีผลประโยชน์ จึงบอกว่า ข่าวสารและเหตุผลปกติจึงใช้กับตลาดเก็งกำไรไม่ได้ เพราะราคาหุ้นไม่ได้ขึ้นลงตามสภาพเศรษฐกิจว่าจะเป็นอย่างไร แต่ขึ้นลงเพราะปริมาณเงินของคนส่วนน้อยที่เป็นรายใหญ่ที่มีเงินจำนวนมหาศาล และสามารถ match ราคากับคนส่วนใหญ่ของทั้งตลาดได้ ไม่ว่าจะเป็นตลาดเก็งกำไรใดๆ ในโลกก็ตามจะเป็นแบบนี้ทั้งหมด


อยู่ข้างคนส่วนน้อย จึงจะกำไร


By zurristic








*รายใหญ่ (คนส่วนน้อย) - คนจำนวนน้อยประมาณ 3-5% ของโลก ที่มีเงินจำนวนมาก เช่น จอร์ส โซรอส หรือ วอร์เรน บัฟเฟต ยกตัวอย่างให้เห็นภาพแต่เราจะไม่รู้ว่าเขาคนนั้นเป็นใครกันแน่ โดยเงินของเขาจะอยู่ในทุกตลาดเก็งกำไรของโลก

*คนส่วนใหญ่ - รายย่อยผู้ที่เข้ามาซื้อขายหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง ซึ่งเป็นคนทั้งหมดประมาณ 90% ของทั้งตลาด โดยพิจารณาเฉพาะคนที่เข้ามาซื้อขายในช่วงเวลานั้นเท่านั้น คนที่ไม่ได้เข้ามาจะไม่นับรวมด้วย จำนวนเงินของคนส่วนใหญ่ทั้งหมดจะเท่ากับเงินของรายใหญ่ที่มีไม่กี่คนในช่วงเวลาซื้อขายขณะนั้น













3D Moving Electronica









วันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ทฤษฎีผลประโยชน์หุ้น 2





ทฤษฎีผลประโยชน์ในตลาดหุ้น ตอนที่ 2


ได้กลับมาเขียน blog อีกครั้งหลังจากไม่ได้เขียนมานานพอสมควร เนื่องจากส่วนนึงผมได้ทำตามทฤษฎีผลประโยชน์ โดยสนใจข่าวหุ้นน้อยลง ออกจากการคลุกวงในเพื่อให้เห็นภาพในมุมกว้างมากขึ้น ผมไปได้หนังสือเล่มแรกของ คุณพิชัย จาวลา ชื่อว่า เศรษฐศาสตร์แห่งความจริง เป็นหนังสือเล่มที่อธิบายทฤษฎีผลประโยชน์ตั้งแต่ที่มาของแนวคิด และทฤษฎีอื่นที่สัมพันธ์กัน ไม่ว่าจะเป็นทฤษฎีวิทยาศาสตร์แนวใหม่ที่มองสรรพสิ่งเป็นแบบ องค์รวม ที่แยกออกจากกันไม่ได้ โดยมีการอ้างอิงแหล่งที่มาให้เราได้ค้นคว้าต่อได้ด้วย

การเขียนเรื่องนี้ในตอนแรกก่อนหน้า ผมก็ยังงงกับแนวคิดนี้อยู่ พออ่านหนังสือเล่มนี้จบจึงเห็นอะไรมากขึ้นแล้วอยากจะเอามาแชร์ เรามาเริ่มที่ คนส่วนใหญ่ และ คนส่วนน้อย ในตลาดหุ้น ตัวเลขสมมุติจะเป็น 97% กับ 3% ซึ่งตัวเลขอาจจะเป็น 95% กับ 5% ก็เป็นไปได้ ให้เราเข้าใจว่า เป็นตัวเลขของคนซื้อและคนขายที่เกิดขึ่นของคนส่วนใหญ่และคนส่วนน้อย ที่ปริมาณเงินที่ซื้อเท่ากับปริมาณที่ขาย ถ้ามีคนซื้อ 97% แสดงว่ามีการขายออกมาของคนจำนวน 3% ที่จับคู่ match กันพอดี

ประเด็นสำคัญ คือ เมื่อเกิดการขายของคนส่วนใหญ่ที่ 97% แล้วคนส่วนน้อยที่เป็นรายใหญ่แบบ จอร์ส โซรอส อันนี้ก็สมมุตินะครับ จริง ๆ เราจะไม่รู้ว่าใครเป็นคนส่วนน้อยที่ซื้อ โซรอส เป็นคนที่เราจะนึกภาพและเข้าใจได้ว่า หน้าตาคนส่วนน้อยที่เป็นรายใหญ่และมีเงินมากเท่ากับคนส่วนใหญ่ 97% นั้นมีลักษณะแบบใด โดย โซรอส เป็นคนนึงในคนส่วนน้อย 3% นั้นเช่นกัน และการเข้าซื้อในจุดนี้ของคนส่วนน้อยทำให้ตลาดเป็น ขาขึ้น ขีดเส้นใต้บรรทัดนี้แล้วทำความเข้าใจมัน แล้วคุณจะเห็นภาพของแนวคิดนี้มากขึ้น




ในทางตรงข้าม ถ้าคนส่วนใหญ่ซื้อที่ 97% คนส่วนน้อยก็ขายให้ จึงทำให้ตลาดเป็น ขาลง อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เหมือนน้ำที่ไหลจากที่สูงลงมาที่ต่ำ โดย คุณพิชัย ย้ำว่า หุ้นจะเป็นขาลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แม้ว่าจะมีการเข้ามาแทรกแซงของสถานะการใด ๆ ก็ตาม คือไม่ว่าจะมีการเข้ามาช่วยไม่ให้หุ้นลงด้วยวิธีการใดก็ตาม ประมาณว่า ถ้าโลกจะแตกก็ไม่สามารถหยุดการลงของตลาดได้ เพราะมันเป็นโมเมนตัมของปริมาณเงินที่ขายของคนส่วนน้อยในจำนวนที่มากเท่ากับปริมาณเกือบทั้งหมดของตลาด จนทำให้ตลาดเป็นขาลงอย่างชัดเจน

เมื่อ คนส่วนน้อยซื้อ หุ้นจึงขึ้น จากการขายของคนส่วนใหญ่ 97% ของทั้งตลาด
และ คนส่วนน้อยขาย หุ้นจึงลง จากการซื้อของคนส่วนใหญ่ 97% ของทั้งตลาด ด้วยข่าวสารที่คิดว่าเป็นข่าวด้านดี ๆ การซื้อขายของคนส่วนน้อยหรือรายใหญ่แปรผันโดยตรงกับการขึ้นลงของตลาด แต่ตรงกันข้ามกับการซื้อขายของคนส่วนใหญ่ ทำให้เราต้องคิดย้อนศรจึงจะเห็นจุดกลับตัวของตลาดทั้งขาขึ้นและลง

ที่เป็นแบบนั้น เพราะเป็นปริมาณเงินจำนวนมากเท่ากับของคนส่วนใหญ่ทั้งตลาดรวมกัน หุ้นจึงขึ้นและลงไปตามโมเมนตัมของปริมาณการซื้อขายนั้น ตลาดจึงขึ้นและลงสวนทางกับเหตุผลของข่าวสารและความเป็นจริง ไม่ว่าจะเกิดสงครามโลก (หมายถึง จะไม่มีเหตุการณ์อะไรมาเปลี่ยนแปลงการขึ้นลงของตลาดได้) หรือเหตุการณ์อะไรก็ตาม ตลาดก็จะยังคงขึ้นลงตามรูปแบบนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เหมือนน้ำที่ไหลลงจากภูเขายังไงน้ำก็จะลงไปท่วมหมู่บ้านด้านล่างเพราะปริมาณน้ำเยอะมาก จึงไม่มีอะไรมาต้านหรือหยุดการลงมาของน้ำได้ เป็นการเปรียบเทียบให้เห็นภาพ

ถ้าสมมุติตัวเลขเป็น 99/1 คือ เกือบจะเป็นปริมาณเงินทั้งหมดของตลาดที่มีการซื้อหรือขายถึง 99% ดังนั้นจึงเกิดการขึ้นลงไปทางใดทางหนึ่งอย่างชัดเจน ทำให้ตลาดเป็นขาขึ้นและลงเป็นวัฏจักรของตลาด

ผมสนใจประโยคที่ว่า ทฤษฎีผลประโยชน์ นั้น เกิดขึ้นตลอดเวลาแม้แต่ในระดับเป็นวินาที แม้ว่า คุณพิชัย จะบอกว่า เราไม่สามารถจะทำกำไรทั้งในระยะสั้น กลาง ยาว ได้ แนวคิดนี้ต้องถือหุ้นในระยะยาวเพื่อไปทำกำไรในจุดที่ตลาดขึ้นไปที่จุดสูงสุด ในรอบนี้จุดสูงสุดจะเป็นประมาณที่ 1,800-2,000 จุด คือจะเกิด New high ของ SET จุดก่อนหน้านี้คือที่ 1,789 จุด แต่เหตุที่เราจะทำกำไรแบบเดย์เทรดด้วยแนวคิดนี้ทำได้ยากนั้นเอง เพราะเราไม่สามารถมองเห็นจุด 97/3 นั้นได้ในกราฟรายนาทีนั้น ถ้าทำได้ก็เป็นขั้นเทพเลยทีเดียว


ภาพโลกเสมือนจริงที่ Matrix สรา้งขึ้น



จุดที่ 97% เราจะรู้ได้อย่างไร ?

ณ วันนี้ เขียนวันที่ 29 ตุลาคม 2559 เป็นจุด 97% เพราะสถานะการณ์ทุกอย่างเลวร้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ ความเชื่อมั่นของประชาชน ข้าวของขายไม่ดี คนจับจ่ายน้อยลง อสังหาฯ คอนโด หยุดการก่อสร้างไว้ก่อน หุ้นตกวันเดียว 99 จุด รวมทั้งเศรษฐกิจโลกก็ไม่ดีไปด้วย การส่งออกของเราก็ลดลง โดยแนวคิดนี้เราเหมือนมองอยู่บนยอดเขามองลงมาที่ตัวเมืองว่า วิวของเมืองสวยหรือป่าว ไม่ลงมาคลุกกับข่าวสารมากเกินไป ซึ่งวิวของเมืองตอนนี้มีมลพิษและหมอกควันปกคลุมอยู่หนาแน่น เป็นภาพตัวอย่างของการมองภาพที่ 97% ด้วยสถานะการณ์ที่ไม่มีมุมไหนที่ดูดีเลย คุณพิชัย จึงประมาณการว่าตลาดจะทำ New high

คือ คนส่วนใหญ่จะมีการขายมากกว่าซื้อเพราะข่าวสารดูไม่ดีเอาเสียเลยในทุก ๆ ด้าน จนถึงจุดที่มีการขายจำนวนมากถึงปริมาณ 97% คนส่วนน้อยที่เป็นรายใหญ่ก็เข้ามาซื้อหุ้นทั้ง 97% นั้นเอาไว้ทั้งหมด หุ้นจึงเป็นขาขึ้นอย่างชัดเจนนั้นเอง

คนส่วนใหญ่และคนส่วนน้อยนั้น เรานับเฉพาะคนที่เข้ามาซื้อขายเท่านั้น คนที่ถือหุ้นเฉย ๆ ไม่ได้เข้าซื้อขายไม่นับ คนที่ถือเงินสดไว้ไม่เข้ามาซื้อขายก็ไม่นับ เพราะไม่มีผลกับการขึ้นลงของหุ้นในการซื้อขายในช่วงเวลานั้น ๆ

ในเวลาที่ตลาดเป็นช่วง Sideway เป็นช่วงที่คนส่วนใหญ่มีการซื้อและขายปริมาณพอ ๆ กัน รายใหญ่ก็จับคู่ราคาทั้งซื้อและขายนั้นไป จึงไม่เกิดเป็นขาลงหรือขาขึ้นให้เราได้เห็น

และการอธิบายตลาดด้วยข่าวสารต่าง ๆ นั้น ส่วนใหญ่เป็นการพูดหลังจากเกิดการซื้อขายที่ทำให้เกิดการขึ้นลงแรง ๆ ไปแล้วค่อยมาพูดอธิบายตามหลังว่าเกิดเหตุการแบบนั้นเพราะอะไร คือ ราคาเป็นตัวกำหนดข่าวที่มาตามหลัง ข่าวสารไม่สามารถกำหนดทิศทางของหุ้นได้ ถ้าได้ก็ทำได้เพียงไม่กี่วันเท่านั้น ตลาดก็จะกลับมาเป็นแนวโน้มเดิมที่จะเป็นไป


Mr. Anderson เห็นตัวเองในโลกความจริง หลังออกจาก Matrix


การจะใช้แนวคิดนี้จะต้องออกจากการคลุกวงใน ไม่รับข่าวสารได้จะดีมาก รับเฉพาะข่าวที่สำคัญ ออกมายืนที่ยอดเขาเพื่อมองวิวของเมือง จึงจะเข้าใจและนำแนวคิดนี้ไปใช้ได้ คือต้องไม่รับข้อมูลข่าวสารตลอดเวลาแบบคนถือศิลเลย คือถ้ารับข่าวสารถือว่าผิดศิล หรือเหมือนคนกินเจแต่ไปกินเนื้อ เพราะถ้าไม่ทำตามกฎเราจะไม่สามารถมองเห็นภาพใหญ่ของตลาดได้ และจะใช้แนวคิดนี้ไม่ได้ผล

ให้นึกถึงหนังเรื่อง Matrix ว่าโลกที่เราอยู่เป็นเพียงการสร้างภาพตึกรามบ้านช่องด้วยคอมพิวเตอร์ทั้งหมด ในความเป็นจริงเราอยู่ในแคบซูลและถูกลงโปรแกรมเข้าไปในสมองว่าเรากำลังทำงานอยู่ในตึกไปวัน ๆ ผู้สร้าง Matrix คือ คนส่วนน้อยที่เป็นรายใหญ่เป็นผู้ควบคุมตลาดและเป็นผู้รอทำกำไรจากคนส่วนใหญ่ คนส่วนใหญ่จึงขาดทุนมากกว่าการกำไรจากหุ้น เพราะรับข่าวสารที่เป็นขยะมากเกินไปและหลงไปกับเกมส์ของรายใหญ่ พูดได้ว่าคนส่วนใหญ่จึงขาดทุนอยู่เสมอ ๆ นั้นเอง

ตามรูปนี้จากหนังสือ โซรอส ใช้ชุดความรู้ที่ตรงข้ามกับคนส่วนใหญ่แม้ว่าคนนั้นจะจบปริญญาเอก เป็นศาสตราจารย์ดอกเตอร์ก็ตาม จะตกเป็นเหยือของรายใหญ่ที่คิดตรงข้ามกับเราตลอดเวลา ตลาดหุ้นจึงเป็นการใช้จิตวิทยาในการซื้อขายมากกว่าการใช้ข่าวสารที่มาอธิบายตามหลังราคา โดยข่าวสารนั้น ๆ จะมีผลต่อตลาดเพียงวันสองวันแค่นั้น และจะยังเป็นขาขึ้นหรือลงตามโมเมนตัมในช่วงนั้น ๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่ดี ในหนังสือพูดถึง นอสตราดามุส ที่พยากรณ์อนาคตด้วยหลักการคล้าย ๆ กันนี้ ประมาณว่าจะเกิดเหตุการบางอย่างที่สำคัญขึ้นในอนาคตที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน ดังนั้นชุดความรู้ที่รายใหญ่ใช้นั้นจะตรงข้ามเหมือนกระจกเงากับคนส่วนใหญ่ตลอดเวลา





ทฤษฎีผลประโยชน์นี้นำไปใช้ได้กับทุกตลาด ไม่ว่าจะเป็น ทองคำ ค่าเงิน ตลาดหุ้นต่างประเทศ หรือแม้แต่การทำธุรกิจ คุณพิชัย ก็ใช้แนวคิดนี้ อย่างเช่น ลงทุนอสังหา ฯ ในช่วงตกต่ำนี้เพราะเป็นจุดที่แย่ที่สุดแล้ว เมื่อสร้างตึกเสร็จเศรษฐกิจก็จะฟื้นกลับมาพอดี เป็นต้น โดยคำว่า ผลประโยชน์ นั้นคือ ผลประโยชน์ของคนส่วนน้อยที่เป็นรายใหญ่จำนวน 3% ของตลาด ถ้าคนส่วนใหญ่มี 97 คน คนส่วนน้อยจะมี 3 คน ที่ได้ประโยชน์จากการทำกำไรจากคน 97 คนนั้น ที่เป็นผู้เสียประโยชน์หรือขาดทุน ตลาดเวลา

ส่วนแนวคิดแบบ VI สัมพันธ์กับแนวคิดนี้ตรงที่ ไม่มีการกะเก็งวงจรของตลาดในระยะสั้น แต่ถือหุ้นในระยะยาว กลุ่ม VI จึงไม่มีผลต่อการขึ้นลงของตลาดเพราะพวกเขาไม่ได้ซื้อขายหุ้นบ่อย ๆ เหมือนกลุ่มที่เล่นแบบเก็งกำไร และในเวลาที่ VI ขายแล้วได้กำไร จึงรวมอยู่ในคนส่วนน้อยที่ 3% ตามแนวคิดนี้


จงลืมสิ่งที่คุณรู้ และใช้ความรู้ชุดใหม่


By zurristic









VDO ล่าสุดในวันที่  28 กันยายน 2559







3D Moving Electronica







วันอังคารที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

เล่นหุ้น VS ทำธุรกิจ





เล่นหุ้น หรือ ทำธุรกิจ


ตอบเลยไม่ต้องอ่านยาว

ก็ทำทั้งสองอย่าง

มีมหาลัยเอกชนที่ไหนไม่แน่ใจ ในระดับปริญญาตรี ไม่ว่าคุณจะเรียน วิศวะ แพทย์ หรือสาขาที่ไม่เกี่ยวกับบริหารธุรกิจ มหาลัยจะมีวิชาที่เกี่ยวกับธุรกิจให้ลงเรียนด้วย เพื่อให้คุณทำอาชีพเสริมไปพร้อมกับอาชีพหลักได้เมื่อคุณจบไปแล้ว เป็นวิธีการที่ดีมากเลย มีลูกหลานลองหาข้อมูลมหาลัยนี้ดู ครับ

ไม่ได้เขียนบล็อคนานพอสมควร เหตุเพราะได้เริ่มทำธุรกิจด้วยรวมกับอ่านหนังสือของคุณ พิชัย จาวลา ที่ให้ถอยออกมาจากตลาด เลยถอยมาออกมาจริงๆ แต่เปิดหน้าจอ Streaming ทุกวันนะครับ ดูบ้างไม่ดูบ้าง หุ้นที่เก็งกำไรก็เล่นรอบแบบเป็นอาทิตย์เป็นเดือนไปเลย ไม่ฟัง ไม่อ่านข่าวหุ้น เอาแค่อ่านผ่านๆ บนทวิตเตอร์แค่นั้น

ธุรกิจที่ผมทำกับน้องชาย คือเข้าไปหุ้นในร้านของเพื่อนน้องชาย ด้วยความที่เราไม่รู้เรื่องอะไรเลยกับ ร้านอาหารและร้านเหล้า เราก็เริ่มด้วยแค่การลงเงินแล้วก็ดูหุ้นส่วนทำงาน แค่นี้ครับง่ายป่าวละ สิ่งที่ยากคือ เงินจำนวนเป็นแสนที่ลงไป รู้ได้ยังไงว่าธุรกิจจะดี ตอบได้ว่า “ไม่รู้” เราจะเชื่อใจหุ้นส่วนได้อย่างไร อันนี้สุดแล้วแต่ความสัมพันธ์ที่มีระหว่างกัน คุณต้องพิจารณาเอาเอง



สิ่งสำคัญในการเริ่มทำธุรกิจคือ “ความกล้า” ครับ เนื่องจากผมกับน้องชายเสียเงินในตลาดหุ้นมาเป็นแสน ฉนั้นเราจึงมีความกล้าในระดับนึง ความกล้าที่มีอีกส่วนนึงมาจากที่เราพี่น้องสองคนนี้ละ คือตัดสินใจนาทีสุดท้ายร่วมกัน ถ้าให้คนใดคนหนึ่งลงทุนคนเดียวก็อาจจะไม่กล้าลง เพราะเป็นธุรกิจที่เราไม่มีความรู้

แล้วธุรกิจนี้ดีไม๊

มันไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ หรอกครับ หุ้นส่วนของเราเขามีร้านของเขาเองด้วย เขามีประสบการณ์มากกว่าเรา กว่าที่เขาจะสร้างชื่อและอยู่มาได้ถึงวันนี้ เขาก็ลำบากกันมาทุกคน ข้อดีคือธุรกิจนี้กำหนดราคาของสินค้าได้ว่าจะเป็นเท่าไหร่ ตามกลุ่มลูกค้าที่เราเลือกโดยสภาพร้านและสิ่งที่ให้กับลูกค้าก็ต้องสมกับราคาที่เราตั้งไว้ ไม่ว่าจะเป็น การบริการ อาหารที่สมราคา และวงดนตรีที่ดีเหมาะสมกับบุคลิกของร้าน

ตอนนี้ธุรกิจแค่พอไปได้แค่นั้น ไม่ได้ดีอะไร สิ่งสำคัญคือต้องสู้และอดทน แล้วถ้าไม่ไหวทั้งตัวเราเองและร้าน เราก็ต้องยอมที่จะวางมือเพื่อเจ็บตัวให้น้อยที่สุด




การที่เรามีความชอบในส่วนใดส่วนหนึ่งของธุรกิจจะทำให้เรามี แรงกระตุ้น หรือ Passion อะไรประมาณนี้ ที่จะสนุกกับธุรกิจที่เราทำ อันนี้คงเคยได้ยินกันมาบ่อยๆ มันเป็นแบบนั้นจริงๆ ผมสนุกที่ได้เลือกวงดนตรีที่เอามาเล่นประจำ เราชอบเพลง ชอบบุคลิกของวงที่มาเล่น เราก็เลือกวงนั้นไว้

และจะสนุกมากในวันที่จัดคอนเสิร์ต ได้พูดคุยรู้จักกับศิลปิน ได้ล้นยอดขาย ล้นจำนวนคนว่าจะขายบัตรหมดหรือป่าว รวมทั้งการจัด Event ต่างๆ และคอนเสิร์ตของวงเล็กๆ ก็จะสนุกไปอีกแบบ

โดย ตำแหน่งทางการตลาด (Positioning) เราเป็นร้านที่จับกลุ่มเฉพาะกลุ่ม (Niche Market) ที่ทางหุ้นส่วนเขาได้ทำไว้ก่อนหน้าที่เราจะเข้ามา เราจะเปิดเพลงในร้านเป็นเพลงสากล 90% เพลงไทยจะเป็น ไทยอินดี้ ร้านแบบนี้ในตัวเมืองขอนแก่นจะไม่มี (ร้านเราอยู่ในขอนแก่น) จะมีร้านแบบนี้รอบๆ มหาลัยขอนแก่น จึงทำให้เราแตกต่างจากร้านอาหารในตัวเมือง แต่มันก็จะมีข้อเสียว่า คนเที่ยว คนฟังเพลงทั่วไปก็จะไม่มาร้านเรา เพราะมันเฉพาะกลุ่มเกินไป ใครเคยฟัง Cat radio จะเป็นการจับกลุ่มลูกค้าแบบนั้น

ในการบริหารจัดการ พนังงานก็จะยุ่งยากที่สุด เราก็ค่อยจัดการเลือกคนที่เหมาะกับเราเอาไว้ เลือกสลับตำแหน่งงานให้เหมาะกับคนที่คิดว่าจะทำได้ดีกว่า โปรแกรมคอมพิวเตอร์ในการออเดอร์รายการอาหารเครื่องดื่มต่างๆ ก็ควรจะมีจะช่วยให้ทำงานได้สะดวกขึ้น หาซื้อมาใช้ไม่ยากมีคนให้บริการพอสมควรอยู่ เวลามีปัญหาเรียกเขามาแก้ไขให้ได้

สต๊อกสินค้าจะเป็นต้นทุนที่เราต้องแบกรับไว้ เราจะต้องสต๊อกสินค้าให้ได้รอบสัมพันธ์กับยอดขาย พอเราทำไปเราจะหาจุดที่เหมาะสมได้ อย่าตุนสินค้าไว้มากอาจจะสั่งอาทิตย์ละครั้งอะไรแบบนี้ เงินเราก็จะหมุนเวียนได้ ถ้าร้านค้าส่งให้เราซื้อเชื้อเป็นรอบๆ ได้ก็ยิ่งดี คือสั่งของไปก่อนจ่ายเงินทีหลัง


ในร้านเรามีโรงแรมด้วยไม่ถึง 10ห้อง ก็ลงใน Agoda สิ่งที่ยุ่งยากคือการทำห้องพักให้พร้อมบริการ หาแม่บ้านดีๆ ได้ไม่ง่ายเท่าไหร่ที่จะทำให้สะอาดน่าพัก

เรามีร้านกาแฟด้วย แต่เราปิดชั่วคราวไปก่อน คือ เราสู้ร้านกาแฟข้างๆ ไม่ได้ เขาร้านใหญ่กว่าและสถานที่น่านั่งกว่าเรา รวมทั้งเราดูได้ไม่ทั่วถึงในเรื่องพนังงาน ค่าใช้จ่ายที่ครอบคลุมรายจ่ายไม่ได้ทั้งหมด แต่เราอาจจะเอากาแฟและนม มาขายเวลากลางคืนเปิดพร้อมกับร้านเหล้า ประมาณนี้ ในยามที่จำเป็นต้องถอยก็ต้องยอมเพื่อรักษาหน่วยธุรกิจหลักไว้ อันนี้คือ เรามีสามหน่วยธุรกิจ (Business Unit) ร้านเหล้า โรงแรม ร้านกาแฟ ถ้าแยกเป็นผลิตภัณฑ์ ได้แก่ เครื่องดืม อาหาร กาแฟ โรงแรม อันนี้เราเช่าทำธุรกิจนะครับ ถ้าจะสร้างก็ต้องมีเงินเป็นสิบล้านละครับ

ในขณะที่เขียนอยู่นี้ บริเวณรอบๆ ร้านเรา มีร้านกาแฟ ร้านเหล้า ร้านข้าวต้ม ปิดตัวลงและประกาศเซ้งสามร้าน เศรษฐกิจในเวลาที่การเมืองไม่ปกติก็จะยากเข้าไปอีก ถ้าจะเริ่มทำธุรกิจก็ชะลอไปก่อน รอดูสถานการณ์การเมืองไปก่อน แต่ไม่ใช่จะทำไม่ได้นะ คือช่วงนี้เป็นหน้าฝนก็เลยเหมือนโดยสองเด้ง แต่ร้านเหล้าที่ว่า ก็มีคนมาเซ้งต่อในเวลาที่ปิดไปสองเดือนได้ คนที่อยากจะทำก็มีอยู่ และรอหาที่ทางหาจังหวะที่ตัวเองพอใจอยู่ คือ โซนที่เราอยู่เป็นสถานบันเทิงและโรงแรมขนาดใหญ่ เป็นโซนที่มีศักยภาพ แต่ร้านเราจะอยู่ในซอยซึ่งจะไม่ดีเท่าร้านที่เขาอยู่บนถนนสายหลัก



การโฆษณา เราทำบนเฟสบุ๊คเป็นหลัก ทั้งจ่ายค่าโฆษณาด้วย ซึ่งไม่แพง 60-120บาท ก็ลงโฆษณาได้แล้ว เฟสบุ๊คทุกคนคุ้นเคยอยู่แล้ว การจ่ายค่าโฆษณาก็ใช้บัตรเครดิต ใช้ง่ายครับ ราคาไม่แพง มีประสิทธิภาพ

เราจะรู้ทุกเรื่องทุกอย่างไม่ได้หรอก ต้องหาความรู้ที่ละเรื่องไป เมื่อเราเรียนรู้ในแต่ละวัน แต่ละสถานการณ์ คุณจะมีความมั่นใจมากขึ้น กล้าคิดกล้าตัดสินใจมากขึ้น เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ขับเคลื่อนธุรกิจไปได้

ปัญหาในแต่ละร้านมันจะไม่เหมือนกัน ฉนั้นเราจะไม่รู้หรอกว่าเราเริ่มธุรกิจแล้วมันจะดีมากน้อยแค่ไหน เราจะต้องพร้อมที่สู้และเผชิญกับปัญหาต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น และควรมีเงินทุนสำรองไว้พอประมาณเพื่อเวลาฉุกเฉิน หรือในเวลาที่เราขาดทุน แต่ต้องการที่จะดำเนินกิจการต่อไปด้วยความหวังที่จะได้รับความสำเร็จในธุรกิจนั้น

การเล่นหุ้น คุณเสียเงินเป็นแสนโดยที่มันเป็นเพียงแค่ตัวเลขในจอ คุณไม่ได้จับต้องอะไรเลยเงินคุณหายไปในสายลม แต่การทำธุรกิจคุณจะได้ประสบการณ์ที่คุ้มค่าแน่นอนไม่ว่าคุณจะกำไรหรือขาดทุน และคุณยังนำเอามาใช้ในการวิเคราะห์ธุรกิจของหุ้นตัวที่คุณสนใจได้


ถ้าคุณทำใจรับการขาดทุนไว้แต่แรก คุณจะทำธุรกิจได้


By zurristic