เล่นรอบหุ้น
ในวันที่ได้คุยกับ VI ซึ่งเป็นเพื่อนของน้องชาย เขาบอกผมว่าต้องมีเป้าหมายในการลงทุนที่ชัดเจน และต้องเลือกว่าจะลงทุนในรูปแบบไหน โดย VI ก็จะแนะนำให้ลงทุนแบบระยะยาว ซึ่งเป็นการลงทุนในแบบที่เป็นวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของการเปิดตลาดหลักทรัพย์ คือให้ประชาชนทั่วไปได้เข้าถือหุ้นบริษัทและร่วมเป็นเจ้าของกิจการในธุรกิจที่ประชาชนสนใจ โดยได้รับผลตอบแทนจากเงินปันผลเป็นหลัก ส่วนการได้ผลตอบแทนจากการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นเป็นผลตอบแทนอันดับรอง ซึ่งมือใหม่จะต้องมีเป้าหมายและเลือกแนวทางที่เหมาะกับตนเอง ไม่มีใครจะให้คำตอบแทนได้
ที่ได้เขียนไปก่อนหน้าว่ามี VI ในทีวีบอกว่าพอร์ตเขาเป็นแบบ 70:30 โดยมีการเก็งกำไร 30% ผมจึงจะมาปรับพอร์ตของตนเองให้มีการลงทุนระยะยาวมากขึ้น จะเริ่มที่ 30:70 คือเก็งกำไร 70% จากที่เก็งกำไร 100% และจะค่อยๆ เพิ่มการลงทุนระยะยาวให้มากขึ้น เพราะการเก็งกำไรมีความเสี่ยงมากกว่าและไม่ได้เป็นแนวทางที่จะยั่งยืนและสร้างความมั่งคั่งยาวนานได้เหมือนการลงทุนระยะยาว
แต่เนื่องจากว่าผมเริ่มลงทุนด้วยเงินจำนวนไม่มาก เงินเดือนก็ไม่สูง การได้รับผลตอบแทนจากส่วนต่างของราคาหุ้นจึงจำเป็นสำหรับการเป็นมือใหม่ในตลาดหุ้น เพราะต้องยอมรับว่าการเก็งกำไรจะได้ผลตอบแทนมากกว่าการรอเงินปันผล แต่ต้องรับความเสี่ยงที่สูงกว่า High Risk High Return ส่วนท่านที่ต้องการลงทุนระยะยาว ก็ไม่ต้องสนใจการเก็งกำไร ถ้าท่านไม่ต้องการเผชิญกับความเสี่ยงที่มากเกินไป
การเล่นรอบของหุ้น เป็นการเก็งกำไรในราคาหุ้นที่ขึ้นลงเป็นวัฏจักร เมื่อราคาหุ้นขึ้นไปถึงจุดที่มีคนซื้อจำนวนมากแล้ว ก็จะมีการขายทำกำไรออกมาและทำให้หุ้นตัวนั้นราคาต่ำลง เป็นแบบนี้หมุนเป็นรอบๆ นักลงทุนจะเข้าซื้อหุ้นในจุดที่ราคาลงมาต่ำสุดเมื่อคาดการณ์จากปัจจัยทางเทคนิคแล้วว่าเป็นจุดเข้าซื้อที่หุ้นจะกลับตัวเป็นขาขึ้น จุดต่ำสุดนั้นเป็นจุดที่มีการขายหุ้นตัวนั้นออกมามาก และราคาต่ำพอที่จะมีการกลับเข้าไปซื้อหุ้นตัวนั้นเข้ามาใหม่
การอ่านกราฟหุ้น และใช้เครื่องมืออื่นร่วมด้วยจึงจำเป็นกับการเก็งกำไร จึงต้องมีการหาความรู้จากหนังสือที่ได้แนะนำไปก่อนหน้านี้ รวมทั้งการหาข้อมูลจากแหล่งอื่นเพิ่มเติม ในอินเตอร์เน็ตจะมีการแชร์ความรู้ด้านเทคนิคหุ้นไว้มากพอสมควรเลย
เมื่อท่านดูกราฟเป็นแล้ว ว่าหุ้นตัวที่สนใจมีราคาเกาะเส้นค่าเฉลี่ย 10วัน หรืออยู่เหนือกว่ายิ่งดี เกาะมาอย่างต่อเนื่องหลายวัน และราคาขยับขึ้นทุกๆ วัน ข้อมูลอื่นที่ช่วยในการตัดสินใจ เช่น มูลค่าการซื้อขายหุ้นตัวนั้น มี Volume ปริมาณพอสมควร อาจประมาณ 1ล้านหุ้น จะเป็นหุ้นที่ราคาน่าจะขยับขึ้นไปเพราะมีผู้เข้าลงทุนมาก โดยการลงทุนทั้งหมดต่อวันของ SET ประมาณ 5-6 หมื่นล้านบาทต่อวัน
เครื่องมืออื่นที่จะช่วยให้มั่นใจขึ้น ถ้าราคาหุ้นเกาะขอบบนของ Bollinger Band เป็นสัญญาณว่าหุ้นมีแนวโน้มจะขึ้นไปเรื่อยๆ และถ้ามีค่า Bullish Divergence ในเครื่องมือ MACD ด้วยก็ยิ่งสนับสนุนว่าหุ้นตัวนั้นจะต้องราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ในจุดที่ราคาหุ้นขึ้นไปเรื่อยๆ นักวิเคราะห์จะบอกให้ Let profit run คือ ปล่อยให้หุ้นวิ่งขึ้นไปเพื่อทำกำไรที่จุดสูงสุด จุดขายทำกำไรคือจุดที่เครื่องมือ RSI บอกว่าหุ้นตัวนั้นมีการเข้าซื้อมากกว่า 70% แล้ว เราก็เตรียมขายทำกำไรออกมา ณ ราคาที่อยู่เหนือจุด 70% ของ RSI มือใหม่จะเห็นว่ามันมี Indicator หลายตัวที่จะช่วยเราดูหุ้น จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเข้าใจในเครื่องมือต่างๆ พอสมควรครับ
และใช้วิธีการเดียวกันนี้กับหุ้นตัวอื่นที่เราสนใจ ซึ่งระยะเวลาการเข้าซื้อขายจะขึ้นกับรอบของหุ้นตัวนั้นว่าอยู่ในช่วงใด และต้องมีความระมัดระวังในการหาจังหวะเข้าและออก ต้องติดตามข่าวสารทั้งในประเทศและต่างประเทศ การเก็งกำไรจึงต้องมีข้อมูลเพียงพอ และต้องให้เวลากับการติดตามหุ้น โดยเราสามารถดูหุ้นออนไลน์บนมือถือได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน
คลิ๊ก ดูภาพขยาย
จากภาพ เส้นสีเหลือคือเส้น 10วัน และเส้นสีน้ำเงินทั้งสามเส้นคือ แถบ Bollinger หุ้นตัวนี้เกาะอยู่เหนือเส้น 10วัน และเกาะขอบบนของ Bollinger บางช่วง และราคาเป็นขาขึ้น
ถัดจากกราฟลงเป็นปริมาณการซื้อขาย (Volume)
และถัดลงมาเป็นค่า RSI ที่ 65% คือราคาหุ้นยังไม่ Over bought
ล่างสุดเป็นค่า MACD ที่ตัดเส้น signal ขึ้นไปแสดงสัญญาณขาขึ้นของหุ้นตัวนี้
ถัดจากกราฟลงเป็นปริมาณการซื้อขาย (Volume)
และถัดลงมาเป็นค่า RSI ที่ 65% คือราคาหุ้นยังไม่ Over bought
ล่างสุดเป็นค่า MACD ที่ตัดเส้น signal ขึ้นไปแสดงสัญญาณขาขึ้นของหุ้นตัวนี้
ถึงอย่างไรก็ตาม การลงทุนในระยะยาวจะเป็นเป้าหมายของผมที่จะต้องเพิ่มให้มีในพอร์ตของตนเอง และเมื่อได้อ่านหนังสือของ ดร.นิเวศน์ ที่จะแนะนำให้ลองหามาอ่านกัน ยิ่งทำให้ผมต้องให้ความสำคัญกับการลงทุนระยะยาวเพิ่มขึ้น เพราะ ดร.นิเวศน์ ลงทุนในหุ้น 100% ไม่ได้ลงทุนในรูปแบบอื่นเลย ไม่ว่าจะทองคำ ตลาดล่วงหน้า หรืออื่นๆ และเป็นการลงทุนระยะยาวทั้งหมดด้วย ไม่ได้มีการลงทุนระยะสั้นเลย ถ้าจะมีการขายหุ้นออกไป ก็เป็นเพราะหุ้นตัวนั้นไม่มีอนาคตในธุรกิจนั้นแล้ว ต่างจาก บัฟเฟต ที่ลงทุนในหลายๆ แหล่ง รวมทั้งการเข้าซื้อบริษัทที่ล้มละลายและฟื้นฟูขึ้นมาใหม่
หนังสือสองเล่มนี้เขียนตั้งแต่ปี 2546 และ 2548 ตอนแรกก็คิดว่ามันเก่าไปแต่พอลองอ่านดู เนื้อหาเข้มข้นและมีภาพของตลาดหุ้นในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ซึ่งมือใหม่จะได้ทราบถึงเหตุการณ์ต่างๆ ทีจะช่วยให้พร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่ผันผวนของตลาดในขณะนี้
ช่างหัวไซปรัส เราถือหุ้นไทย
----ดร.นิเวศน์
By zurristic
ตัวอย่างหนังสือ
AgeLoc Technology & Antioxidant
สารต้านอนุมูลอิสระและชะลอความชรา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น