พอร์ตหุ้น 70:30
มีนักลงทุนสาย VI แนะนำว่า พอร์ตการลงทุนของเราอาจจะแบ่งเป็นสองส่วนคือ การลงทุนระยะสั้น 30% มีการซื้อขายเพื่อให้ได้ส่วนต่างของราคา และระยะยาว 70% โดยถือยาวเพื่อรอรับเงินปันผล โดยอาจจะมีกองทุน LTF ในพอร์ตด้วยก็ได้ ซึ่งเราเลือกได้ว่าจะเป็นกองทุนแบบกี่ปี จะเป็น 1ปี 3ปี หรือ 5ปี
ถ้าจะมีการลงทุนในทองคำในส่วน 30% และถ้าเลือกลงทุนใน Gold future จะมีข้อจำกัดในเรื่องของเงินลงทุน แม้ว่าจะวางเงินสดเพียง 10% ของมูลค่าทองคำที่ซื้อขาย เช่น 1 สัญญาที่ 10บาททองคำ เป็นเงิน 10x20,500=205,000บาท ก็จะต้องวางเงิน 20,500 บาท สำหรับมือใหม่ก็พอจะลงทุนได้ แต่เมื่อขายออกจะต้องจ่ายเงินเต็มจำนวน 2xx,xxx บาท และได้กำไรจากส่วนต่างของราคาที่เปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะขึ้นหรือลง ขึ้นกับว่าคุณคาดการณ์และซื้อสัญญาในราคาใด ซึ่งมันจะใช้เงินลงทุนเยอะพอควรสำหรับมือใหม่ และมีค่าธรรมเนียมสัญญาละ 100บาท และ 500บาท สำหรับสัญญาทองคำหนัก 50บาท
สำหรับผมตั้งใจว่าจะพยายามให้เป็นพอร์ตแบบ 50:50 ถ้ายังทำไม่ได้จะพยายามลดการซื้อขายให้จำนวนครั้งน้อยลง ในตอนนี้มันอาจจะเป็นแบบ ยาว30:สั้น70 เหตุเพราะการรอปันผลจะต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมากสำหรับมือใหม่ การเก็งกำไรจากส่วนต่างของราคาจึงจำเป็นสำหรับผม โดยการได้กำไรที่ 10%ต่อเดือน เป็นเรื่องที่มือใหม่สามารถทำได้ แต่การเก็งกำไรจะต้องมีเวลาติดตามหุ้นแต่ละตัว โดยเฉพาะช่วงขาลงที่จะต้องตัดขาดทุน โดยเราสามารถใช้โปรแกรมซื้อขายอัตโนมัติช่วยได้ถ้าไม่ได้ติดตามหุ้นตลอดเวลา
ในช่วงนี้ตลาด SET กลับมาเป็นขาขึ้นและกำลังจะทดสอบ 1,600จุด อีกครั้ง หลังจากที่ครั้งก่อนเกิดการตื่นขาย (Panic sell) หุ้นตก 120จุด การเข้าซื้อขายหุ้นในช่วงนี้จึงต้องระมัดระวัง เพราะมีทั้งเรื่องค่าเงินบาทแข็งค่า และราคาทองคำที่ต่ำลง เข้ามามีผลกับตลาดหุ้นเป็นระยะๆ
สำหรับมือใหม่ที่คิดจะลงทุนในระยะยาว และเน้นที่การรับปันผล ก็ไม่จำเป็นจะต้องทำกำไรจากการซื้อขายเพื่อให้ได้ส่วนต่างของราคา เลือกหุ้นตัวที่กิจการดี จ่ายปันผลทุกปี และเพิ่มเงินลงทุนเข้าไปในพอร์ตเพื่อให้พอร์ตโตขึ้น และได้รับปันผลเพิ่มมากขึ้น
VI พูดถึงการลงทุนระยะยาวว่า ถ้าร้านก๋วยเตี๋ยวของคุณขายดีมากจนต้องเปิดสาขาเพิ่ม คุณจะขายร้านให้คุณอื่นหรือป่าว คือเปรียบเทียบกับการซื้อขายหุ้นแบบเก็งกำไร การถือหุ้นของบริษัทที่ดี เหมือนมีห่านทองคำที่จะออกไข่ทองคำให้เราเป็นประจำ ถ้าเราขายห่านตัวนั้นทิ้งไปแล้วจะได้ไข่ทองคำมาจากไหน ไม่ต้องไปสนใจเศรษฐกิจต่างประเทศว่าจะเป็นยังไง เพราะเราถือหุ้นของบริษัทที่ขายสินค้าให้คนไทย VI จะไม่ขายหุ้นเพื่อเก็งกำไร จะขายก็ต่อเมื่อเห็นว่าหุ้นของบริษัทนั้นมีกิจการที่ไม่น่าจะมีอนาคตแล้ว การแบ่งพอร์ตลงทุนทั้งระยะสั้นและยาวจึงจำเป็น ถ้าเราต้องการที่จะมั่งคั่งไปกับการลงทุนในหุ้นโดยเฉพาะกับมือใหม่
ก่อนหน้านี้ผมเคยเขียนเรื่องเกี่ยวกับการเมืองในอีกเว็บบล็อกหนึ่งของผมว่า การประท้วงทางการเมืองก็จะกระทบกับประชาชนและร้านค้าแถวๆ ที่ชุมนมบ้าง และก็จะกระทบกับตลาดหุ้นบ้าง ซึ่งคนเล่นหุ้นเป็นคนส่วนน้อยของประเทศสักประมาณ 10%ของประเทศ ถ้าการชุมชนนั้นจะช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น การได้รับผลกระทบจาการชุมชนของภาคธุรกิจจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ เขียนประมาณนี้
แต่แล้วผมกลายมาเป็นคนเล่นหุ้น ไม่อยากให้มีการชุมนุมประท้วง อยากจะให้หุ้นขึ้นทุกวัน เงินบาทให้พอดีๆ ไม่แข็งเกินไป ทองคำก็ให้ราคากลับมาเป็นเหมือนเดิม ตลาดหุ้นต่างประเทศอยากให้เขียวทุกๆ วัน การเมืองก็ให้นิ่งๆ นโยบายการลงทุนของรัฐบาลถ้าผ่านได้ก็จะดี แม้ว่าหลายฝ่ายมองว่าเป็นการผลาญเงินภาษีของประเทศ และมีบางคนบอกว่าโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงอาจจะสร้างไม่สำเร็จ เพราะโครงการนานเกินกว่ารัฐบาลชุดนี้ และรัฐบาลอาจหวังเพียงค่าคอมมิชชั่นแล้วปล่อยโครงการไปตามยถากรรม
ในทีวีวิทยากรรับเชิญพูดว่า เราอาจจะนั่งรถไฟความเร็วสูงจากโคราชเข้ามาทำงานในกรุงเทพได้ทุกๆ วันเลย ได้อยู่กับครอบครัวไม่ต้องเขามาอยู่ในกรุงเทพ ไม่รู้มีข้อมูลก่อนพูดหรือป่าวว่าค่าโดยสารจะเป็นเท่าไหร่ ถ้าเป็นเที่ยวละ 500บาท ถามว่าจะนั่งเข้ามาได้ทุกวันจริงเหรอ เงินเดือนจะเหลือหรือป่าว เนื่องจากต้นทุนของรถไฟความเร็วสูงที่ 1.6ล้านล้านบาท จุดคุ้มทุนที่จะได้จากค่าโดยสารจะเป็นเท่าไหร่ ใครตอบได้บ้าง
ในต่างประเทศรถไฟความเร็วสูงจะเป็นคู่แข่งของเครื่องบิน เพราะไม่ต้องเสียเวลาเช็คอิน รวมเวลาเดินทางเปรียบเทียบกันแล้ว เดินทางด้วยรถไฟเร็วสูงจะถูกกว่าและใช้เวลาใกล้เคียงกับเครื่องบิน เช่น ถ้านั่งเครื่องบินจากหนองคายมากรุงเทพใช้เวลา 2ชั่วโมง รวมเช็คอิน รถไฟเร็วสูงอาจใช้เวลาน้อยกว่า 3ชั่วโมง ที่ความเร็ว 250-300กม./ชม.
ถ้าเราเอาราคาตั๋วของเครื่องบิน Low cost มาเป็นตัวเทียบ รถไฟฟ้าความเร็วสูงอาจจะมีค่าโดยสารประมาณ 1,000บาท สำหรับเส้นทาง หนองคาย-กรุงเทพ เพราะถ้าราคาแพงกว่าเครื่องบินเราจะขึ้นรถไฟฟ้าความเร็วสูงด้วยเหตุผลอะไร หนังสือพิมพ์รายงานว่าเส้นทางเชียงใหม่-กรุงเทพ ประมาณการว่าราคาเที่ยวละ 1,737บาท ไปแอร์เอเชีย 1,743บาท เลือกอะไรดี?? ถ้าไปเครื่องบินก็จะถึงเร็วกว่าด้วยราคาพอๆ กัน ...จบข่าว...
นอกจากนี้การก่อสร้างถนน และการบริหารจัดการน้ำ ภายใต้งบประมาณ 2.2 ล้านล้านบาท แม้แต่สภาพัฒนาเศรษฐกิจฯ เองก็ออกมาบอกว่าโครงการทั้งหมดนี้จะไม่คุ้มทุน แต่มหาโปรเจคนี้ก็มีผลต่อตลาดหุ้นในทางบวกอย่างมากเลยทีเดียว โดยเฉพาะธุรกิจก่อสร้าง
กลายเป็นคนส่วนน้อยไปแล้วเรา
By zurristic
แนะนำหนังสือ
เล่มนี้เก่าไปหน่อยแต่พอจะใช้สำหรับการเริ่มต้นลงทุนในทองได้
ในการเก็งกำไร เล่มนี้จะมีรายละเอียดมากกว่าเล่มก่อนที่แนะนำไป สำหรับการดูกราฟหุ้น
เล่มนี้ Recommended เลยครับ
AgeLoc Technology & Antioxidant
สารต้านอนุมูลอิสระและชะลอความชรา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น