ทฤษฎีระบบผลประโยชน์สำหรับตลาดหุ้น
การสร้างทฤษฎีขึ้นมาใหม่เพื่อให้มีการยอมรับในระดับสากล ผู้คิดทฤษฎีจะมีการศึกษาวิจัยตามกระบวนการที่มีแบบแผน ตัวอย่างทฤษฎีที่เรารู้จักกันอย่างเช่น
สูตรทางฟิสิกส์ E = MC2 ของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ที่ถูกนำไปใช้พัฒนาสร้างระเบิดนิวเคลียร์และนำไปใช้จริงในสงครามโลก
อีกตัวอย่าง ทฤษฎี Win-Win ของ จอร์น แนช นักเศรษฐศาตร์ชาวอเมริกันที่ได้รับรางวัลโนเบลจากทฤษฎีนี้ เช่นเดียวกับ ไอสไตน์ ที่ได้รับรางวัลในสาขาฟิสิกส์
สำหรับ “ทฤษฎีระบบผลประโยชน์” ในตอนแรก คุณพิชัย จาวลา ผู้นำเสนอแนวคิดนี้ใช้ชื่อ “ทฤษฎีเศรษฐศาตร์แห่งความจริง” การคิดทฤษฎีขึ้นใหม่โดยไม่มีกระบวนการทางวิชาการจึงไม่สามารถนำมาพิสูตรได้ตามหลักสากล อย่างทฤษฎี Win-Win เกิดจากสมการทางเศรษฐศาสตร์ที่มีหลักทางวิทยาศาสตร์รองรับ
อย่างไรก็ตามทฤษฎีระบบผลประโยชน์ เป็นแนวคิดที่น่าสนใจและสามารถนำมาใช้ในตลาดทุนและตลาดหุ้นได้ สำหรับมือใหม่ที่ยังไม่ทราบเรื่องนี้ ทฤษฎีมีหลักว่า
ผู้ที่ทำกำไรในตลาดทุนได้มีเพียงส่วนน้อย ถ้ามี 3% คนอีก 97% จะเป็นผู้ขาดทุน เพราะปริมาณซื้อเท่ากับปริมาณขายจากการจับคู่ Match ของราคา ด้วยปริมาณเงินที่เท่ากันของคน 3% ใช้เงินเท่ากับเงินของคน 97% เพื่อซื้อหรือขายสินทรัพย์นั้นไว้ทั้งหมด
ทำไมคน 3% จึงทำเช่นนั้น?
เพราะเขาต้องการทำกำไรจากคนส่วนใหญ่นั้นเอง หมายความว่า 97% เป็น แมลงเม่า ที่บินเข้ามาในกองไฟ ที่คน 3% ล่อเอาไว้ ถ้าพิจารณาดู คนที่ทำกำไรหรือได้ผลตอบแทนจนพอร์ตโตขึ้นมากนั้น จริงๆ มีจำนวนไม่มากที่เราเห็นเขาเขียนหนังสือและออกทีวีดูแล้วมีหลายคนแต่คนเล่นหุ้นมีเป็นล้านคนในประเทศไทย คนประสบความสำเร็จเหล่านั้นจึงเป็นคนในกลุ่ม 3% แต่ปริมาณเงินของคนเหล่านั้นก็เป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้นเพราะจะมีรายใหญ่ที่มีเงินทุนจำนวนมากทั้งในและนอกประเทศอยู่ในกลุ่มนี้ ที่เขียนมานี้สรุปจากหนังสือและยูทูบของ คุณพิชัย ผู้สนใจลองไปศึกษาเพิ่มเติมได้ครับ
ข่าวสาร การวิเคราะห์แนวโน้มของตลาด หรือกราฟเทคนิค จึงเป็นหนทางที่ทำให้เกิดคน 97% ที่มองเห็นไปในแนวทางเดียวกัน คน 3% รอเพียงโอกาสที่จะเกิดการซื้อหรือขายมาก over bought, over sold เพื่อเข้าซื้อหรือขายส่วนทางกับคนกลุ่มใหญ่
ทั้ง วอเรน บัฟเฟต และ ปีเตอร์ ลินซ์ จะไม่กะเก็งแนวโน้มการขึ้นลงของตลาดและให้ความสำคัญกับข่าวสารต่างๆ น้อยมาก เพื่อไม่ให้ตนเองหลงไปกับกระแสส่วนใหญ่นั้น เขาจึงเป็นคนใน 3% ที่ประสบความสำเร็จ หรืออย่างกลุ่ม VI ในไทยก็จะไม่สนใจวงจรของตลอดในระยะสั้นและเลือกลงทุนระยะยาว
วิธีการที่ง่ายที่สุดคือ เลือกลงทุนในระยะยาว อาจจะแบ่งขายทำกำไรบ้างส่วนที่เหลือรอรับปันผล ถ้าเราลองทำกำไรในระยะสั้นแล้วไม่ประสบความสำเร็จ
จุดสูงสุด SET 1,789จุด
คุณพิชัย ใช้แนวคิดนี้ประมาณการณ์ในระยะยาวว่า ตลาดหุ้นไทยจะไปที่ 1,700จุด สิ้นปี 57 นี้ และจะไปถึง 2,000จุด แต่กำหนดระยะเวลาที่จะไปถึงไม่ได้ แต่ถ้าสิ้นปีนี้ยังไปไม่ถึง 1,700จุด ในต้นปีหน้าก็จะไปถึงอยู่ดี ตามทฤษฎีของคุณพิชัย เหตุเพราะไม่มีใครคิดว่ามันจะไปถึง คนกลุ่ม 3% จึงรอที่จะเข้าซื้อเมื่อมีการขายออกมามากและจะพาตลาดหุ้นขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่ตั้งแต่ก่อตั้งตลาดของไทยมา จุดสูงสุดเดิมคือ 1,789จุด ในปี 2537
ส่วนทองคำจะขึ้นลงอยู่ในช่วง 1,000-1,200$ เท่านั้น ในระยะยาวจะเป็นขาลง จะไม่กลับขึ้นไปที่ 1,900$ หรือที่ 27,000บาท ที่เป็นจุดสูงสุดในรอบก่อนหน้านี้ และยังย้ำว่า ทองคำ เป็นฟองสบู่แล้วไม่ควรถือครองเพื่อหวังขายทำกำไรในอนาคต เพราะทองคำเป็น very over bought มีการถือครองไว้มากในมือของนักลงทุน ธนาคาร สถาบัน ร่วมทั้งประเทศต่างๆ มีไว้เป็นกองทุนสำรองของประเทศ และทองคำมีพื้นฐานของในการนำมาเป็นเครื่องประดับน้อยลงมากเมื่อเทียบกับการถือทองแท่งเพื่อเก็งกำไร
และค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐจะแข็งค่าเป็นผลให้ค่าเงินบาทจะอ่อนค่าไปที่ 35บาท/ดอลล่าร์ คือถ้าจะทำกำไรกับค่าเงินให้ซื้อดอลล่าร์เอาไว้ คือสามารถทำกำไรกับค่าเงินบาทที่จะไป 35-40บาท ได้ โดยคุณพิชัย ให้การที่เงินบาทจะไปที่ 35-40บาทนี้ ร่วมทั้งการที่หุ้นจะไปที่ 1,700จุด หรือมากกว่าเป็นจุดที่ใช้พิสูตรแนวคิดทฤษฎีนี้ ในวันที่เขียนค่าเงินบาทอยู่ที่ 32บาท
โดยหลักการที่ใช้ประมาณการตลาดทั้งหมดจะดูว่ามีการเข้าไปซื้อขายในอะไรมากๆ นั้นเป็นจุดที่คน 3% เฝ้าดูอยู่และหาจังหวะที่ตรงข้ามกับคนกลุ่มใหญ่ ในจุดที่ตลาดหุ้นพยายามผ่าน 1,600จุด เป็นจุดที่คนส่วนใหญ่เริ่มมีความกังวลว่าจะผ่านไปไม่ได้ คือเป็นจุดที่คนส่วนใหญ่กลัว วอร์เรน บัฟเฟต จึงมีคำพูดว่า “จงกล้า ในเวลาที่คนอื่นกลัว” การคิดสวนทางแบบนี้จึงเป็นจุดสร้างความได้เปรียบของคนกลุ่ม 3%
จากการที่เราพยายามจะทำกำไรจากตลาดหุ้นแล้วเราทำไม่สำเร็จหรือได้บ้างเสียบ้าง ปัณหาคือเสียมากกว่าได้ ทฤษฎีผลประโยชน์นี้ อาจจะเป็นแนวทางที่เราจะลองศึกษาและลองเอามาประยุกต์ใช้ดู แม้ว่าการจะมองแบบคน 3% จะไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เพราะถ้ามันง่ายก็จะไม่มีมีคนกลุ่มน้อย 3% นี้เกิดขึ้น เขาเหล่านั้นอยู่เหนือคนกลุ่มใหญ่เสมอๆ
ในโลก Matrix เราถูกกำหนดให้ทำตามระบบ
และเป็นได้เพียงส่วนหนึ่งในเกมส์ของผู้ควบคุม The Matrix
Mr.Anderson จึงเลือกที่จะออกมาจาก The Matrix
By zurristic
ภาพยนตร์ชีวิตของ จอร์น แนช
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น