วิกฤตเศรษฐกิจกับตลาดหุ้น
จากทฤษฎีผลประโยชน์ และหนังสือ เศรษฐศาสตร์แห่งความจริง ได้อธิบายเหตุการณ์ในอดีตจนถึงปัจจุบัน แล้วผมมาไล่ดูกราฟตามที่ คุณพิชัย ได้เขียนไว้ในหนังสือ เริ่มที่ปี 2530
จันทร์ทมิฬ 2530 – หุ้นลง 49จุด แล้วอีกสองเดือนตลาดกลับตัวเป็นทรงขาขึ้น (ผมจำเหตุการณ์ไม่ได้) เป็นเหตุการณ์ Black Monday วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม 2530 ที่ชอบพูดถึงกันบ่อย ๆ
สงครามอ่าวเปอร์เซีย ครั้งที่ 1 – หุ้นตก 58จุด สถานการณ์ไม่ดีหุ้นลงตาม แปรผันโดยตรงกับสถานการณ์ (เหตุการณ์นี้จำได้)
พฤษภาทมิฬ 2535 – หุ้นขึ้น แล้วขึ้นไปทำจุดสูงสุดตั้งแต่ก่อตั้งตลาด 1,753จุด มีเหตุผลอะไรที่ทำให้หุ้นทำจุดสูงสุดได้ (ผมพักอยู่หลัง ม.รามคำแหง และกลับต่างจังหวัดเพราะเหตุการณ์วุ่นวายพอสมควร)
SET พ.ศ. 2526-2554 (ภาพจาก google)
ปี 2530-2535 ตลาดเป็นขาขึ้น สถานการณ์ร้ายต่าง ๆ มีผลต่อตลาดในระยะสั้นและตลาดจะกลับตัวเป็นเทรนด์ขาขึ้นต่อไปตามโมเมนตัมของปริมาณการซื้อขาย
วิกฤตต้มยำกุ้ง 2540 – หุ้นตกแรง ตลาดเป็นขาลงพอดี และลงต่อไปอีกที่ 207จุด สถานการณ์แย้มากหุ้นลงตาม ตลาดแปรผันโดยตรงกับสถานการณ์ แต่ถึงแม้ไม่มีต้มยำกุ้งตลาดก็จะเป็นขาลงอยู่แล้ว จากที่ผ่านช่วงตลาดทำจุดสูงสุดมาแล้ว (ช่วงนี้ หางานยากและตกงานกันเยอะมาก)
ตึกเวิร์ดเทรดถูกถล่ม 2544 และ สงครามอ่าว ครั้งที่ 2, 2546 – หุ้นขึ้น
วิกฤตซับไพร์ม 2550 – หุ้นตกแรง สถานการณ์แย้มากหุ้นลงตาม แปรผันโดยตรงกับสถานการณ์
SET พ.ศ. 2554-2560
ดูกราฟต่อจากทีมีคนทำไว้
น้ำท่วมกรุงเทพ 2554 – หุ้นขึ้น และทำจุดสูงสุดอีกครั้งที่ 1,649จุด มีเหตุผลอะไรทำให้หุ้นขึ้นไปได้ขนาดนั้น (เขียนตามคำที่คุณพิชัยใช้)
ชุมนม กปปส. และ คสช. รัฐประหาร 2557 – หุ้นขึ้น
วิกฤตที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่ไม่ส่งผลต่อตลาดมากนัก และหุ้นยังขึ้นสวนทางกับข่าวหลาย ๆ ครั้ง คือ เหตุการณ์สำคัญจะมีผลต่อตลาดในระยะสั้น เป็นวันหรือสัปดาห์แล้วตลาดก็จะยังคงขึ้นหรือลงไปในทิศทางของโมเมนตัมเดิมที่จะไปอยู่แล้ว เช่น ต้มยำกุ้งปี 40 ตลาดเป็นขาลงอยู่แล้วและก็จะลงไปจนต่ำสุดไม่ว่าจะเกิดต้มยำกุ้งหรือไม่เกิดหุ้นจะลงไปตามวงจรของมัน
สงครามอ่าวครั้งที่ 2, การชุมนุมปิดสนามบิน ปิดราชประสงค์ และ น้ำท่วม 54 ตลาดเป็นขาขึ้น ก็จะเกิดการกลับตัวแล้วขึ้นต่อไปตามโมเมนตัม ไม่ว่าจะมีเหตุการณ์ทั้งหมดนั้นหรือไม่ก็ตาม สถานการณ์จะเปลี่ยนทิศทางตลาดในระยะสั้นเท่านั้น
SET พ.ศ. 2518-2547 (ภาพจาก google)
จะมีช่วง สงครามอ่าวครั่งที่ 1 และ ซับไพร์ม ที่ตลาดลงต่อเนื่องหลายเดือน อาจจะมองได้ว่าเป็นรอบตลาดย่อตัวลงระยะสั้นเพราะหลังจากนั้นตลาดก็เป็นขาขึ้น ต่างจากต้มยำกุ้งที่เป็นขาลงอย่างชัดเจน แต่หุ้นไม่ได้ลงเพราะต้มยำกุ้ง ลงเพราะเป็นขาลงอยู่แล้วจากที่ขึ้นไป 1,753จุด
มาดูช่วงปัจจุบัน ต้นปี 2560 กราฟรายวันเป็น Sideway ทฤษฎีอธิบายว่า วันที่หุ้นลง คนส่วนใหญ่ซื้อ วันที่หุ้นขึ้น คนส่วนใหญ่ขาย รายใหญ่รับซื้อไว้ทั้งหมด หุ้นจึงขึ้นในวันนั้น
อธิบายในการเดย์เทรดแบบเดียวกันนี้ในลิงค์ด้านล่าง คือ ระบบผลประโยชน์เกิดขึ้นตั้งแต่เป็นวินาที นาที ชั่วโมง สัปดาห์ เดือน และ ปี นักลงทุนระยะยาวที่ไม่ได้ซื้อขายรายวันหรือเล่นสั้นจะไม่ถูกรวมอยู่ในระบบในช่วงเวลาที่พิจารณานั้นๆ เขาจะอยู่เพียงในจุดราคาต่ำสุดที่เขาเข้าซื้อเท่านั้น แนวคิดนี้จะพิจารณาเป็นช่วงเวลาเป็นรอบ ๆ ไป ว่าเรามองที่จุดไหน ระยะไหน แต่รายใหญ่จะเข้ามาซื้อขายทุกระยะตั้งแต่ นาที วัน เดือน ปี และทำกำไรอยู่ตลาดเวลา
SET รายวัน ณ ปัจจุบัน
การ Sideway แสดงถึงมีการซื้อและขายของคนส่วนใหญ่พอ ๆ กันไม่เกิดการเทขายหรือซื้อมากไปทางใดทางหนึ่งตลาดจึงผันผวนไม่ขึ้นไม่ลง
ถ้าเชื่อว่าหุ้นจะไปที่ 1,800จุด จากสภาพเศรษฐกิจที่แย้มาก ๆ ในช่วงนี้ คนส่วนใหญ่ไม่เชื่อว่าตลาดจะขึ้นไปได้ หุ้นก็จะขึ้นไปจากการขายของคนส่วนใหญ่ โดยคนส่วนน้อย (รายใหญ่) ซื้อไว้ทั้งหมด จนจำนวนหุ้นในมือเริ่มมากขึ้น หุ้นก็จะขึ้นไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะซื้อไว้มากที่ RSI 70-80% ตลาดจะทำจุดสูงสุดใหม่และจะเริ่มกลับตัวเป็นขาลง
ในยูทูบจากที่หุ้นเป็นช่วงไซด์เวย์ คุณพิชัย ได้ออกมาพูดล่าสุดว่าจะเห็น 1,700 ช่วงปลายปี 2560 หรือข้ามไปที่ปี 61 ขึ้นอยู่กับว่าช่วงผันผวนจะนานแค่ไหนไม่มีใครบอกได้ เพราะเราไม่อาจรู้ได้ว่าคนส่วนใหญ่จะขายพร้อมกันทั้งหมดในช่วงไหน จึงคาดการณ์ระยะเวลาที่แน่นอนไม่ได้ และอาจจะไปถึง 1,800จุด ในกลางถึงปลายปี 2561
หนังสือ เศรษฐศาสตร์แห่งความจริง
ทฤษฎีผลประโยชน์ จะขัดกับความรู้ ความรู้สึก ที่เรามีมาก่อน เพราะเหตุผลมันดูไม่สอดคล้องกันกับสิ่งที่เกิดขึ้น ที่มาและเหตุผลมันต้องสามารถอธิบายที่มาที่ไปของมันได้ เหตุการณ์ร้ายก็ควรทำให้หุ้นตก อันนี้ไม่ผิด แต่จะส่งผลระยะสั้นกับตลาดเก็งกำไร
ทฤษฎีนี้เราอธิบายเฉพาะในตลาดเก็งกำไร เศรษฐกิจในภาคปกติก็จะเปลี่ยนแปลงไปแบบแปรผันตรงต่อกัน สถานการณ์ไม่ดี เศรษฐกิจก็จะไม่ดี แต่จะแปรผกผันกับตลาดเก็งกำไร เพราะรายใหญ่เขาเห็นจุดที่ทำกำไรได้จากจิตวิทยาในการเข้าซื้อขายหุ้น คุณซื้อ รายใหญ่ก็ขายให้ คุณขาย รายใหญ่ก็รับซื้อไว้ รายใหญ่นั่งรอจับคู่ราคากับคุณแค่นั้นเอง เขาก็กำไรแล้วเพราะเขามีหุ้นตัวนั้น ๆ ทุกราคาต้นทุนต่ำกว่าคุณอยู่แล้ว ...อาเมน
การเป็นขาขึ้นหรือลงของตลาดจึงเกิด การที่รายย่อยทั้งตลาดซื้อพร้อมกันหมด รายใหญ่ก็ขายให้ทั้งหมดเช่นกัน ตลาดเลยเป็นขาลงจากปริมาณการขายหุ้นออกมาหมดทั้งตลาด ขาขึ้นก็ตรงข้ามกัน คนส่วนใหญ่ขายกันหมดทั้งตลาด เช่น ที่ 207จุด รายใหญ่ก็เข้ามารับซื้อหุ้นทั้งหมดของตลาดไว้ ตลาดจึงขยับตัวขึ้นไปและเป็นขาขึ้นรอบใหม่ในที่สุด
แล้วใครมีเงินมหาศาลขนาดนั้น ลองย้อนไปอ่านบทความก่อนหน้าที่ คนรวยที่สุดในโลก 8 คน มีเงินเท่ากับคนจนครึ่งโลก ตลาดเก็งกำไรเป็นเพียงจำนวนเงินส่วนหนึ่งของโลก จึงเป็นไปได้ที่รายใหญ่ในตลาดหุ้นสามารถซื้อหุ้นไว้ทั้งตลาดและเป็นผู้ควบคุมตลาดได้ นี้เราพูดถึงตลาดเก็งกำไรทั้งโลกเลยนะ ไม่ว่า ดาวโจนส์ ทองคำ น้ำมัน ค่าเงิน สินค้าล่วงหน้าอื่นๆ ตลาดทั้งหมดในโลกรายใหญ่เข้าไปทำกำไรทั้งหมด
ราคาทองคำ (http://goldprice.org/th)
ตลาดเก็งกำไรอื่นอย่าง น้ำมัน ได้ลงมาที่จุดต่ำสุดแล้วกำลังกลับตัวเป็นขาขึ้น อธิบายง่าย ๆ แบบนี้ ไม่ต้องว่าอากาศหนาวจึงซื้อน้ำมันมากแต่อย่างใด ก็จะขึ้นไปที่ 60$/บาร์เรล คุณพิชัย พูดแม้กระทั้งว่า กลุ่มโอเปกเองก็ยังพลาดหลาย ๆ ครั้ง และไม่ได้เข้าใจระบบของทฤษฎีผลประโยชน์นี้ เขียนไปมากกว่านี้คนอ่านก็จะเริ่มมองว่ามันเป็นแบบนั้นจริงเหรอ
ส่วน ทองคำ ก็ผ่านจุดต่ำสุดในรอบล่าสุดมาแล้วเช่นกัน คุณพิชัย ว่าจะไปที่ 1,500$/ออนซ์ ประมาณ 24,800บาท ขณะนี้ 20,400บาท จะขึ้นไป 4,000บาท ก็น่าจะไปถึงได้
ราคาน้ำมัน (https://www.investing.com/)
และรายใหญ่ยังจะควบคุมตลาดได้ต่อไปเพราะเป็นการยากที่คนทั่วไปจะเชื่อแนวคิดนี้ เพราะมันขัดกับความรู้สึกและประสบการณ์ที่เราได้รับมาเป็นสิบ ๆ ปี ลองศึกษาแนวคิดนี้ดู เพื่อคุณจะได้อยู่ข้างเดียวกับรายใหญ่และทำกำไรได้ไปกับเขา
ลองลืมสิ่งที่เคยรู้
แล้วเปิดรับชุดความรู้ใหม่
By zurrist
** จุดสูงที่สุดของ SET วันที่ 4 มกราคม 2537 คือ 1,789.16 จุด
**บทความอ้างอิงตาม ทฤษฎีผลประโยชน์
-กำไรหุ้นแบบย้อนศร (Day trade)
ออกอากาศ 6 กุมภาพันธ์ 2560
3D Moving
Electronica
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น