ทำกำไรหุ้นปันผล
มีอีเมลของกลุ่มขายตรงส่งเข้ามาบอกว่า เล่นหุ้นมันยาก มาทำธุรกิจกับเราง่ายกว่า ถามว่าจริงมั้ย มันก็จริงนะครับ ยิ่งช่วงหลังมานี้ SET ขึ้นลงแบบเดาทางไม่ถูก ส่วนหนึ่งเป็นเหตุจากเศรษฐกิจของทางยุโรปและกรีซ ดูจากเงินยูโรที่แข็งค่ามากเป็นประวัติกาลที่ 1.05ยูโรต่อดอลล่าร์ คือ เป็นส่วนหนึ่งของเงินทุนต่างชาติที่ไม่เข้ามาในตลาดไทย ร่วมทั้งการที่เรามีกฎอัยการศึกด้วย SET จึงไม่ไปต่อจาก 1,600จุด
ตามทฤษฏีผลประโยชน์ นักลงทุนรายใหญ่ หรือ เจ้าตลาด ที่มีเพียงประมาณ 3% แต่มีเงินมากเท่ากับคนที่เหลืออีก 97% ของตลาด และเป็นผู้ควบคุมทิศทางของตลาด จากที่นักลงทุนมีความรู้มากขึ้นเจ้าตลาดก็จะหาทางที่จะไม่ให้เราจับทางเขาได้ ทำให้เราเล่นหุ้นได้ยากขึ้น แม้ว่าทฤษฎีนี้ยังไม่ได้มีการยอมรับในวงกว้างและไม่ได้มีการพิสูจน์ทางวิชาการแต่อย่างใด แต่ผมมีความเชื่อว่าตลาดหุ้นเป็นไปตามทฤษฎีนี้ เมื่อคน 97% ขาย เจ้าตลาด 3% ก็จะทำในสิ่งตรงข้ามคือเข้าซื้อเอาไว้หมด รายใหญ่ที่ว่าในประเทศอาจจะเป็น นักลงทุนสถาบัน นักลงทุนต่างชาติ หรือนักลงทุนอิสระรายใหญ่ที่มีเงินมาก
ดังนั้นตลาดจึงไม่ได้เปลี่ยนแปลงด้วยเหตุผลที่เกิดขึ้นจริงและจะเกิดเหตุการณ์ตรงข้ามกันกับเหตุผลที่เราเข้าใจกันบ่อยครั้ง ในเวลาที่มีการขึ้นลงของตลาดจะมีเหตุผลมารองรับเสนอแต่เป็นเหตุผลที่พยายามจะหามาให้มันเข้ากับสถานการณ์ โดยที่ไม่มีใครรู้ความจริงที่เกิดขึ้นเป็นตามเหตุและผลนั้นหรือไม่ เพราะคนที่รู้ว่าทำอะไรให้เกิดขึ้นกับตลาดก็มีเพียงเจ้าตลาดเท่านั้น คนอื่นๆ ทำได้เพียงคาดเดาเอาเท่านั้นว่าเกิดอะไรขึ้น ตลาดทุนจึงเป็นเรื่องของอารมณ์และจิตวิทยาเป็นส่วนใหญ่ ที่ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์หรือเหตุผลที่เกิดขึ้นจริงในขณะนั้น
และทฤษฎีนี้พูดถึงตลาดทั้งหมดในโลกไม่ได้อธิบายเฉพาะตลาดใดตลาดหนึ่ง ตัวอย่างที่เรารู้จักกันดีคือ วิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ต้มยำกุ้ง ที่มีการเก็งกำไรค่าเงินบาทโดยนักลงทุนรายใหญ่ชื่อ จอร์จ โซรอส เป็นการโจมตีค่าเงินบาทโดยนักลงทุนต่างชาติ แสดงให้เห็นว่าตลาดทุนของโลกมีความสัมพันธ์กันหมด เงินไหลไปมาหากันเป็นเรื่องปกติ ตลาดหุ้นไทยจึงเป็นตลาดของรายใหญ่อย่างแท้จริงเพราะมีขนาดเล็กมาก จะให้ตลาดเป็นไปอย่างไรก็ได้ถ้ารายใหญ่ต้องการ สัดส่วน 3/97% จึงเป็นตามนี้ในตลาดโลกด้วย ดูจากราคาน้ำมันที่ลงมาที่ต่ำกว่า 50ดอลล่าร์ต่อบาร์เรล ก็เป็นเพราะผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่ตั้งใจจะให้ราคาต่ำลงแบบนี้ เพื่อกำจัดคู่แข่งที่เป็นรายเล็กกว่าและแบกรับต้นทุนที่สูงกว่าไม่ได้
SAMART
ถ้าเราลดการเก็งกำไรระยะสั้นลงได้การลงทุนในหุ้นก็จะไม่ยากเกินไป กับการที่จะได้ผลตอบแทนประมาณที่ 10% จากสภาพตลาดที่จะได้ผลตอบแทนสูงไม่ง่ายนักในช่วงนี้ ผมจึงค้นหาหุ้นที่จ่ายปันผลดีเพื่อช่วยให้เราลงทุนระยะยาวได้และทำกำไรเป็นรอบได้ด้วย หุ้นปันผลที่ว่านี้จะจ่ายปันผลที่ 3-4% ส่วนอีก 6% เราได้จากการขายทำกำไรจากส่วนต่างของราคาหุ้น โดยปกติส่วนต่างของราคาจะได้ 10% หรือมากกว่าก็เป็นเรื่องปกติ ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยประมาณ 10% รวมปันผลและส่วนต่างราคาเป็นค่าขั้นต่ำที่เราจะทำได้ไม่ยากนัก ตัวอย่างหุ้นปันผล 3-4% ได้แก่ DELTA, HANA, JMART, SGP, SPALI, SAMART, SINGER, AMATA, MC, TVO, GC
DELTA มีส่วนต่างราคาได้ถึง 18% และ HANA 12% ในหนึ่งเดือน SGP ขึ้นได้ 5% หลังจากเข้าซื้อเพียงวันเดียวจากการรีบาวด์ของ SET, SPALI ก็ขึ้นไปจนซื้อไม่ทัน AMATA, MC, TVO, SINGER วอลลุ่มอาจจะน้อยไปหน่อยแต่ก็พอขยับขึ้นไปได้ อย่าง GC เป็นหุ้นปิโตเคมี-พลาสติก ที่ได้จากการสแกนหุ้นไม่รู้จักมาก่อน แต่น่าสนใจตรงที่ราคา 4บาทกว่า แต่ปันผลที่ 5% ส่วนตัวอื่นๆ ราคา 10บาท ขึ้นไปกันหมด
SPALI
การลงทุนในหุ้นปันผลจะช่วยให้เราไม่กังวลกับการขึ้นลงของราคามากนัก เพราะเราถือหุ้นตัวนั้นรอปันผลเพื่อลดความเสี่ยงจากการเก็งกำไรระยะสั้น ถ้าราคาขึ้นไปสูงเกินไปเราก็แบ่งขายทำกำไรออกไป และเข้าเก็บเมื่อราคาลงมาต่ำๆ ยิ่งต่ำยิ่งดี โดยที่งบการเงินและผลประกอบการยังดีอยู่ ค่า PE ที่ 10-25 ช่วยบอกได้ว่าราคาหุ้นตัวนั้นไม่สูงเกินไป และ Market Capital ไม่สูงไปกว่าสินทรัพย์ของบริษัท ถ้าสูงกว่าแสดงถึงราคาหุ้นที่สูงกว่ามูลค่าที่แท้จริงของบริษัทนั้น
ตัวอย่างถ้าเราลงทุน 100,000บาท ซื้อ SPALI ที่ 22.40บาท จะได้ 4,400หุ้น ถ้าปันผล 4%, 0.89บาทต่อหุ้น จะได้เงิน 3,916บาท แล้วหลังจากนั้นถ้าเราขายทำกำไรไปครึ่งหนึ่ง 2,200หุ้น ที่ 24.40บาท ถ้าราคาขึ้นไป 2บาท (9%) จะได้เงินอีก 4,400บาท รวมเป็นเงิน 8,319บาท เป็นผลตอบแทนที่ 13% จากการซื้อได้ที่ราคาต่ำช่วยให้ลดความเสี่ยงและได้ผลตอบแทนที่ดีไปด้วย ตลาดหุ้นจึงให้ผลตอบแทนมากกว่าช่องทางอื่นๆ
เล่นหุ้นง่ายนิดเดียว
ใจเย็นๆ รอปันผล
By zurristic
JMART
Note:
คุณพิชัย จาวลา บอกว่า SET ในช่วงปี 58 นี้ จะขึ้นไปชนแนวต้าน 1,600จุด อาจจะชนแล้วชนอีกหลายครั้ง แล้วในที่สุดจะผ่านไปได้และจะไปถึง 1,700จุด ได้ มีบางหลักทรัพย์ก็เชื่อว่าจะไปได้ถึง 1,700-1,800 เช่นกัน แต่นักลงทุนส่วนใหญ่ยังไม่เชื่อว่า SET จะขึ้นไปได้ขนาดนั้น
ตามทฤษฎีผลประโยชน์ ถ้าคนส่วนน้อยมองว่า SET จะไปที่ 1,700จุด และคนส่วนใหญ่ไม่เชื่อว่าจะขึ้นไปได้ นั้นเป็นจุดที่ตลาดจะขึ้นไปสูงได้
สำหรับทองคำ คุณพิชัย บอกว่า ที่ 1,200ดอลล่าร์/ออนซ์ เป็นแนวต้านของทองคำเช่นกัน เมื่อราคาต่ำกว่า 1,200 เป็นจุดซื้อและซื้อได้ทุกราคา และทองคำจะกลับขึ้นไปได้อีกในปี 58นี้ ถ้าเป็นเงินบาทประมาณ 18,000บาท เมื่อราคาต่ำกว่านี้เป็นจุดซื้อสะสมทองคำแท่ง ผู้ที่มีพอร์ตหุ้นสามารถซื้อกองทุนทองคำ TGOLDEFT, GLD สะสมได้เช่นกัน ใช้เงินหลักพันก็ซื้อสะสมได้แล้วและรอทำกำไรที่ประมาณ 5-10% ได้ในรอบ 3เดือนขึ้นไป
และราคาน้ำมันโลก หลายหลักทรัพย์บอกว่า ที่ 55ดอลล่าร์/บาร์เรล น่าจะเป็นจุดต่ำสุดในช่วงนี้ จุดนี้จึงเป็นจุดซื้อ ไม่ว่าจะเป็นหุ้นพลังงานหรือกองทุนน้ำมัน เช่น ENGY, ENY ทำกำไร 10% ได้ตามการขึ้นของราคาน้ำมันโลก แต่ต้องเข้าไม้แรกให้ได้มากที่สุดทั้งทองคำและน้ำมัน
๐๐๐
---ทฤษฎีผลประโยชน์
5.1 Moving
Electronica
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น