Money In Stocks - ออมเงินในหุ้น

วันเสาร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

ผลประโยชน์หุ้นสุดขั้ว




ทฤษฎีระบบผลประโยชน์หุ้นแบบสุดขั้ว


คำว่า สุดขั้ว หมายถึง ถ้าอธิบายตามทฤษฎีผลประโยชน์แบบสุดโต่ง คือจะมีการอธิบายบางส่วนที่ไม่ได้ถูกบอกออกไปทั้งหมด เพราะมันจะขัดแย้งกับความรู้เดิมอย่างมาก เช่น ถ้าบอกว่าพื้นฐานของหุ้นที่ดี อาจจะทำให้หุ้นตัวนั้นราคาขยับขึ้นไปได้ช้าลงด้วยซ้ำ (ตรงนี้แค่ยกตัวอย่างคำว่าสุดโต่ง) ต่างจากหุ้นเก็งกำไรที่ราคาพุ่งขึ้นไปจนน่ากลัว คือ ราคาหุ้นจะขึ้นลงด้วยกลไกของระบบผลประโยชน์

ในกรณี หุ้นที่พื้นฐานไม่ดี หรือ warrant โดยเฉพาะที่ราคาต่ำกว่า 5 บาท จะมีการเก็งกำไรกันมาก ราคาก็ขึ้นไปอย่างรวดเร็ว คือ เป็นการ เก็งกำไรอย่างสมบูรณ์ มีการถือครองไว้น้อยมาก และราคาก็ตกลงรวดเร็วเช่นกัน รอบที่เป็นวงจรขึ้นลงของหุ้นจะเกิดได้รวดเร็ว อาจจะเกิดในวันเดียว คนจึงเข้ามาเล่นเดย์เทรดกัน

กรณี หุ้นพื้นฐานดี เป็นหุ้นที่คนสนใจเข้ามาเล่นและลงทุนจำนวนมาก ในกรณีนี้ คนที่เข้ามาถือหุ้นและ รอรับปันผล จะถูกตัดออกจากคนส่วนใหญ่ 97% ที่เป็นผู้เข้ามาเก็งกำไร และ 3% เป็นรายใหญ่ เพราะคนที่ถือหุ้นไม่มีส่วนในการขึ้นลงของราคาในแต่ละรอบนั้น ๆ คนถือหุ้นจะถูกรวมใน 97% เมื่อเขาอาจจะแบ่งขายหุ้นที่ถือนั้นออกมา ระบบผลประโยชน์จะพิจาณาเฉพาะคนที่เข้ามาซื้อขายในรอบระยะเวลาที่สนใจเท่านั้น รอบจะเป็น วัน เดือน ปี ก็จะมีคนเข้าซื้อขายแตกต่างกันไป แต่ทุกวินาที นาที จะมีรายใหญ่เข้ามาร่วมด้วยเสมอ

ในมุมมองแบบ สุดขั้ว หุ้นพื้นฐานดี ราคามีการขยับขึ้นไปเพราะมีคนเข้ามาเล่นหุ้นตัวนั้นจำนวนมาก จากการที่เป็นหุ้นพิ้นฐานดี คนจึงสนใจมากทั้งถือและเก็งกำไร แต่ราคาไม่ได้ขึ้นเพราะพื้นฐานของหุ้นเพียงอย่างเดียว ราคาขึ้นไปเพราะมีการเก็งกำไรซื้อขายหุ้นตัวนั้นอยู่ตลอดเวลา ในแบบที่หุ้นตัวเล็กที่พิ้นฐานไม่ดีราคาขยับขึ้นไปสูงๆ

ตัวอย่างที่ได้เขียนไปแล้วในตอนก่อน CPALL ราคาขยับขึ้นจาก 40 มาที่ 60 บาท เพราะมีการขายออกมาที่ราคา 40 บาท เพราะคิดว่าราคาเต็มมูลค่าแล้วไม่น่าจะไปต่อได้ รายใหญ่จึงซื้อไว้ทั้งหมดและราคาจึงขยับไปที่ 60 บาท คือ คนที่ถือหุ้นขายหุ้นออกมาจึงเข้ามาอยู่ในวงเก็งกำไรของ รายย่อยและรายใหญ่ 97/3 % นั้น

หุ้นพื้นฐานดีจึงไม่ได้เห็นราคาขึ่นลงแรงๆ เหมือนหุ้นเก็งกำไร เพราะจำนวนหุ้นที่มีให้เก็งกำไรมีน้อยกว่าจากการถือไว้ของผู้ถือหุ้น




TKN ก็เช่นกัน เป็นหุ้นที่มีพิ้นฐานดีจริง แต่ราคาที่ขึ้นมาถึง 400% เป็นเพราะการเก็งกำไรของรายย่อยจำนวนมาก จำนวนคนที่ถือหุ้น TKN จึงน่าจะมีจำนวนไม่มากเหมือน CPALL เพราะราคาขึ้นมาถึง 400กว่า% ในเวลาไม่กี่ปี

TKN เมื่อเปรียบเทียบกับ CPALL จะมีสัดส่วนของการเก็งกำไรมากกว่าการถือหุ้น เพราะราคาขึ้นมาได้เร็วกว่า สมมุติ TKN มีสัดส่วน คนถือ/คนเก็งกำไร เป็น 30/70 CPALL อาจจะเป็น 40/60 และ TKN เป็นหุ้นตัวเล็ก Market Cap. ต่ำกว่า CPALL คือ TKN ราคาขึ้นไปด้วยการเก็งกำไรที่เกินพื้นฐานของตัวหุ้นแล้ว




AU ออกตัวแรงและคนก็สนใจมากเช่นกัน แต่แล้วก็ไม่ไปไหนเลย เดาว่าคนเข้ามาแล้วติดเยอะเลยจำใจถือ ถ้ามีคนเริ่มขายทิ้งออกมาราคาถึงจะเริ่มขยับขึ้นไปได้ และ FN อาการเดียวกันเลย (ผมติดอยู่ด้วยทั้งสองตัวนี้ เหอะๆ) คือ เข้าซื้อเพราะมองว่าสองตัวนี้จะไปได้แบบ TKN แต่กับ FN ผมยังชอบอยู่ถึงแม้ราคาจะตกลงมา




MTLS น่าสนใจตรงที่คล้าย SAWAD ที่ไปดวงจันทร์แล้ว คนก็เข้ามาเล่นและลงทุนมากเหมือนกันเพราะอยากจะได้ไปดวงจันทร์บ้าง โบรกเกอร์ก็เชียร์ตลอด ได้กัน 150-200% กันถ้วนหน้า แต่การที่ค่อยๆ ขยับขึ้น ก็จะเป็นผลดีต่อหุ้นที่จะไม่เป็นเหมือน AU ที่คนเฮโลไปเล่นกันหมดพร้อมกัน




BEM ควบรวมระหว่าง BMCL กับ BECL (หาราคาเดิมไม่เจอ) ควบรวมแล้วได้ราคามาเป็น 5 บาทกว่า จะได้ 100-160% ถ้วนหน้าเช่นกัน เป้นหุ้นที่ใกล้ตัวทั้งรถไฟฟ้าและทางด่วน คนเข้าใจง่ายก็เข้ามาซื้อกันเยอะและน่าจะมีการถือครองมากด้วย ผมมี BMCL อยู่แล้ว พอควบรวมก็ซื้อเพิ่ม ตอนนี้ยังถืออยู่

ขออีกตัว BEAUTY ให้เป็นขั้นเทพ พื้นฐานก็ดีจริงกับ 295 สาขา ราคาปัจจุบันนี้ถูกแตกพาร์จาก ราคาพาร์ 1 บาทต่อหุ้น มาที่ พาร์ 0.10 บาท เหตุเพราะไปดวงจันทร์มาเรียบร้อยแล้วกลับมายังโลก ตอนนี้อยู่ที่ราคา 10.70 บาท




BEAUTY ราคา IPO 8 บาท แตกพาร์แล้วเป็น 0.80 บาท ราคาสูงสุดไปที่ 12.60 บาท คิดเป็น 1500% ดาวอังคารเลยละ การเก็งกำไรมีมากกว่าการถือครองหุ้น แบบเดียวกับ TKN แต่ไปแรงกว่ามาก BEAUTY, CPALL ผมไม่มี เคยซื้อ BEAUTY นิดหน่อย

สมมุติฐาน ได้ว่า ถ้าหุ้นตัวนั้นถูกถือไว้ทั้งหมดในจำนวนที่มีอยู่ในตลาด หุ้นตัวนั้นราคาจะไม่ขยับไปไหนเลย เพราะไม่มีการซื้อขายกันเลย ลองพิจาณาดูว่าจริงไม๊

ดังนั้นจึง สมมุติฐาน ได้ว่า หุ้นทั้งหมดในตลาดหุ้นทั้วโลก มีการเปลี่ยนแปลงของราคาขึ้นลงเพราะมีการซื้อขายกันอยู่ตลอดเวลา โดยอยู่ภายใต้การอธิบายของ ทฤษฎีระบบผลประโยชน์

ใช้คำว่า สมมุติฐาน เพราะไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่า มันจริงตามนั้นทั้งหมดหรือไม่ ...แล้วจะมาสนใจเรื่องนี้ทำไม




ถ้ารายใหญ่ ทำตามที่ว่ามานี้ทั้งหมด คือ เป็นผู้ที่ทำให้ราคาหุ้นขึ้นลง จากการเข้าซื้อขายตรงข้ามกับ รายย่อยทั้งหลาย ถามว่า รายใหญ่ ที่เป็นคนระดับโลกที่รวยที่สุด ดีดนิ้วทีเดียวก็ซื้อตลาดหุ้นไทยได้ทั้งตลาดแล้ว เขาจะอยากให้คุณรู้หรือว่า กลไกของราคาหุ้นมันเป็นเพราะเขาเข้ามาซื้อขายอยู่ในหุ้นทุกๆ ตัว ถ้าคุณรู้ รายใหญ่เขาก็จะ ไม่ได้เงินจากคุณซิ

คุณพิชัย เปรียบเทียบว่า ถ้าเราเข้าไปในป่าแล้วเจอกระท่อม มีอาหาร น้ำ ไฟ อย่างดี แล้วคุณก็เข้าไปกินอาหารนั้น โดยลืมคิดไปว่า อาหารมากมายนี้ มาอยู่กลางป่าลึกได้ยังไง ...อาเมน

ตอนที่เชื่อว่าโลกแบน มีสมมุติฐานว่า โลกน่าจะกลม ก็ต้องนั่งเรือสำรวจถึงจะเห็นกับตา

คุณพิชัย บอกว่า ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐจะแข็งค่า เหตุเพราะเศรษฐกิจของอเมริกาจะดีขึ้น เนื่องจากอเมริกาเป็นประเทศที่มีความรู้ในเรื่องต่างๆ มากที่สุดในโลก และมีการคาดการณ์ว่าค่าเงินดอลลาร์จะอ่อนค่าจากการบริหารของ ทรัมป์ ตามทฤษฎีผลประโยชน์จึงจะตรงข้าม เงินดอลลาร์สหรัฐเทียบกับเงินสกุลอื่นจะแข็งค่าไปเรื่อยๆ คือ สกุลอื่นจะอ่อนค่า รวมทั้งเงินบาทด้วย




ในยูทูบ คุณพิชัยบอกในวันนั้นที่ 29 บาท จะขึ้นมาที่ 35 บาท และก็จะไปต่อที่ 40 บาท และบอกอีกว่าหุ้นก็จะขึ้นไปด้วย คือ ถ้าเงินบาทขยับไปที่ใกล้ 40 อาจจะช่วง 37-38บาท ภาคเศรษฐกิจจริงอาจจะเป็นจุดที่ดูไม่ดีเอาเสียเลย คนจะเริ่มขายหุ้นออกมา และตลาดหุ้นก็จะผ่าน 1,600จุด ไปได้ เมื่อมองในระยะเวลาที่ค่าเงินจะขยับขึ้นไป ก็อาจจะพอดีกับตลาดหุ้นจะไปได้ที่ 1,700จุด – ตรงนี้ผมประมาณการเอาเอง

ขีดเส้นใต้ เงินบาท 40 บาท หุ้นจะ 1,700 จุด (ความเห็นส่วนตัว) หรือ ณ 40 บาท หุ้นอาจจะ 1,800-2,000 ก็ได้ เพราะคุณพิชัยไม่ได้บอกว่าเงินบาทจะไปมากกว่า 40 จึงเป็นจุดที่จะเกิดการกลับตัวของค่าเงินบาทลงมาแข็งค่า และจะเป็นจุดเปลี่ยนแปลงของภาคเศรษฐกิจจริง

เมื่อตลาดหุ้น 1,700 จะส่งผลต่อภาคเศรษฐกิจจริง (Real sector) ให้ดีขึ้นด้วยจิตวิทยา คือ ราคาหุ้น ไปกำหนดสถานการณ์ให้ดีขึ้น คำอธิบายมาหลังราคา ซึ่งเกิดขึ่นเป็นประจำในการรายงานข่าวสารต่างๆ จึงเป็นจุดที่สถานการณ์ดูดี พูดได้ว่าเศรษฐกิจจะฟื้นกลับขึ้นมา มีการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น

ถ้า 2,000จุด เป็นเป้าหมายที่คุณพิชัยบอกไว้ ช่วง 1,700-2,000 จะเป็นช่วงที่เศรษฐกิจกลับมาดี และหลังจากผ่าน 2,000จุด ไป หุ้นก็จะเป็นขาลงอย่างแท้จริง ตามวงจรการขึ้นลงของมัน

คือ ตลาดเก็งกำไรไปกำหนดสถานการณ์ของภาคเศรษฐกิจจริง เมื่อตลาดหุ้นขึ้น เศรษฐกิจจริงก็จะดีขึ้นไปด้วย ตามหลังตลาดเก็งกำไรที่ดีไปก่อนหน้าแล้ว ตลาดเก็งกำไรจึงเปลี่ยนแปลงทิศทางก่อนภาคความจริงและชี้นำเศรษฐกิจของประเทศ

สรุปได้ว่า 
ราคาหุ้นจะขยับขึ้นไปเกินพื้นฐานได้เป็นเรื่องปกติ ตามแนวคิดระบบผลประโยชน์ แล้วเหตุผลก็จะมาตามหลังว่าหุ้นขึ้นไปเพราะอะไร ซึ่งเป็นเหตุผลที่อธิบายการขึ้นลงของราคาไม่ได้จริง (พูดที่หลังเหตุการณ์จะพูดอะไรก็ได้ หวยออกตัวนี้ เห็นไม๊ละบอกให้ซื้อ แต่ตัวเองไม่ได้ซื้อ) ถ้าพื้นฐานไม่ดีไม่ต้องพูดถึง จะมีการเก็งกำไรอย่างสมบูรณ์ในหุ้นตัวนั้น เพราะมีการถือครองหุ้นน้อย หุ้นส่วนใหญ่จะถูกซื้อขายอยู่ตลอดเวลา




ผมถอดความและขยายความจากยูทูบของคุณพิชัย ผู้ที่สนใจในทฤษฎีนี้ควรจะฟังยูทูบและอ่านหนังสือเรื่อง เศรษฐศาตร์แห่งความจริง เป็นเล่มที่อธิบายทฤษฎีนี้ไว้ละเอียดกว่าทุกเล่ม จะมีข้อมูลตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันว่าแต่ละช่วงเวลาเกิดอะไรขึ้นมาบ้าง

ตลาดเก็งกำไรไม่ได้มีตรรกะแบบภาคเศรษฐกิจจริง ที่จะเป็นเหตุเป็นผลต่อกันและอธิบายแบบทั่วๆไปได้ ที่เราได้ฟังกันอยู่ทุกวัน


อย่าเชื่อ แม้ผู้พูดเป็นครูบาอาจารย์
รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม


By zurrist











รับออกแบบ ก่อสร้าง








ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น