Money In Stocks - ออมเงินในหุ้น

วันศุกร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2560

เดย์เทรดย้อนศร 2







กำไร Day Trade หุ้นย้อนศร (ตอน 2)


เขียนการเดย์เทรดด้วยระบบผลประโยชน์ต่อจากตอนที่แล้ว ที่มีคำว่า กำไร เพื่อที่จะช่วยในการขึ้นหน้าแรกๆ จากการค้นหาคำบน Google นะครับ การเดย์เทรดก็จะมีได้มีเสีย เราต้องยอมรับความเสี่ยงตรงนี้ได้จึงจะเดย์เทรดได้แบบไม่เครียดมาก หลายคนเดย์เทรดเพราะเป็นความชอบ เทรดด้วยความสนุก เทรดด้วยแรงผลักดันที่มีในตัว ถ้าได้อ่านหนังสือหรือทราบเรื่องราวของ Trader จะบอกไว้ว่า เขาชอบที่จะเทรด เขาอยากที่จะเทรด

ผมนี้ก็ขาดทุนมากกว่ากำไรในการเดย์เทรดแต่ก็ยังพยายามที่อยากทำกำไรให้ได้ เลิกเทรดไปหลายทีแล้วก็กลับมาเทรดอีกจนได้ นอกจากชอบที่จะเทรดแล้วส่วนหนึ่งก็อยากจะเพิ่มรายได้ให้กับตัวเองเพราะเงินเดือนก็ไม่ได้มากมายอะไร จะเป็นค่าขนม ค่าข้าว ได้มากน้อยก็อยากให้ได้กำไรมากกว่าขาดทุน




ทฤษฎีผลประโยน์จะไม่กะเก็งตลาดในระยะสั้น จะมองภาพในวงจรใหญ่มากกว่า เช่น มองว่าตลาดจะไปที่ 1,800จุด แต่เนื่องจากทฤษฎีได้อธิบายไว่ว่า แม้แต่รายนาทีก็เป็นไปตามระบบผลประโยชน์ คือ มีการเข้ามาซื้อขายของรายใหญ่อยู่ตลอดเวลา

ทฤษฎีผลประโยชน์จะช่วยทำให้การตัดสินใจดีขึ้น กล้าที่จะเข้าเทรดมากขึ้น เดย์เทรดจะต้องมีความกล้าและตัดสินใจหาจังหวะเข้าได้ถูกเวลา ถูกตัว ถ้าพลาดก็ต้องรีบออก จุดเข้าซื้อ จะเป็นจุดที่หุ้นตัวนั้นลงมาต่ำมากๆ ในรอบที่กำลังเล่น ต้องซื้อที่จุดนี้เพราะเป็นจุดที่ รายใหญ่ (คนส่วนน้อย) จับคู่ราคาซื้อไว้ทั้งหมดจากการขายของคนส่วนใหญ่ แล้วหุ้นก็จะเริ่มขึ้นจากจุดนี้

มือใหม่ลองเลือกเล่น Warrant ดู เพราะมันวิ่งแรงกว่าหุ้นใน Top Gainer ลองเริ่มด้วยเงิน 3,000-5,000บาท เล่นหุ้นราคา 0.5-2บาท ควรเล่นช่วงเช้า หุ้นจะเริ่มวิ่งแต่ตอนเช้าเลย ถ้ายังไม่ได้เข้าที่จุดต่ำสุด ให้รอย่อตัวแล้วเล่นรอบสอง เลือกหุ้นที่มีปริมาณซื้อขาย 1ล้านหุ้นต่อนาที รายละเอียดย้อนอ่านตอนแรกนะครับ

ถ้ามี การปั่นหุ้น ตัวใดตัวหนึ่ง ถ้าเขาปั่นในช่วงขาลง เขาก็อาจจะขาดทุนไปกับ รายย่อย ทั้งหลาย แต่ถ้ามาปั่นช่วงจุดต่ำสุดที่หุ้นกลับตัวขึ้น เขาก็จะได้กำไรไปพร้อมกับ รายใหญ่ ดังนั้น ไม่ต้องกลัวการปั่นหุ้นเพราะจะช่วยให้มีแรงซื้อขายมากและหุ้นจะเคลื่อนไหวตลอดเวลา ทำให้เราเฝ้าดูได้ ควรกลัวว่าเราจะเกาะไปกลับรายใหญ่ทันหรือป่าว


การขึ้นรอบที่สอง


ถ้าคิดว่าแนวคิดนี้ไม่น่าจะจริง เรายึดหลัก การซื้อมาก-ขายมาก (Overbought, Oversold) ก็ได้ เพราะเป็นหลักการที่เราเห็นกันต่อหน้าและเข้าใจได้ง่ายกว่า คือ เมื่อเกิดการขายมากและลงมาต่ำๆ เรารอเข้าซื้อในจุดที่หุ้นกลับตัว ในแบบที่ VI เขาเข้าเก็บหุ้นในราคาที่ต่ำ เพราะยังไงมันก็น่าจะกลับขึ้นไปในไม่ช้า

แต่ระบบผลประโยชน์อธิบายว่า การขายมาก เกิดจากการขายของรายใหญ่แล้วหุ้นจึงลงมาต่ำ เพราะปริมาณขายเป็นการขายทั้งหมด 90% ของหุ้นตัวนั้นๆ และเมื่อเกิดการกลับตัวขึ้นไป ก็เป็นการซื้อของรายใหญ่ 90% เช่นกัน ในระหว่างที่หุ้นลงจากจุดสูงสุด รายย่อยยังเข้าซื้อไว้ตลอดเวลา รายใหญ่ก็ขายให้เป็นระยะ และรายย่อยก็จะติดหุ้นในมือ แล้วมาปล่อยขายแบบตัดใจตรงจุดต่ำสุด รายใหญ่ก็เก็บหุ้นนั้นไว้ทั้งหมด จนจำนวนมากที่ 90% โดยประมาณ หุ้นตัวนั้นก็เริ่มกลับเป็นขาขึ้น จึงเกิดกลไลของ ระบบผลประโยชน์ ที่รายใหญ่ได้ประโยชน์แต่เพียงผู้เดียวและทำกำไรจากตลาดไปเกือบทั้งหมดในหุ้นตัวนั้นๆ เช่นเดียวกับภาพใหญ่ของทั้งตลาดที่มีกลไกขึ้นลงแบบเดียวกันนี้





คนที่ประสบความสำเร็จในตลาดหุ้นจะมี กลุ่ม VI ที่จะไม่อยู่ในระบบผลประโยชน์เพราะนานๆ ซื้อขายที และกลุ่มเทรดเดอร์ที่เล่นสั้นมากๆ จะอยู่ในระบบผลประโยชน์เพราะเทรดอยู่เป็นประจำ

เทรดเดอร์คนที่มีชื่อเสียงทั้งเขียนหนังสือและออกทีวี เขาเทรดด้วยเงินหลักแสน ทำกำไร 3-5ช่อง (spread) ได้กำไรหลักหมื่น แล้วก็รีบออกเลย มันยากตรงเทรดครั้งละแสนนี่แหละ หลักหมื่นเราก็หัวใจจะวายแล้ว

ถ้าหุ้นตัวละ 1.00บาท ซื้อ 2แสนบาท ได้ 2แสนหุ้น ทำกำไรที่ 5ช่อง 0.05บาทx2แสนหุ้น ได้กำไร 10,000บาท เป็นต้น ถ้าทำกำไรที่สามช่อง เขาก็จะใช้เงินมากกว่านี้ อาจจะใช้ถึงหลักล้าน เราเล่นหลักพัน หลักหมื่น ก็คงพอแล้ว

เราควรจะเล่นทั้ง สั้น กลาง ยาว เล่นเก็งกำไร 10% ของพอร์ต เล่นระยะกลาง เราจะเล่นตามรอบของหุ้น เลือกเข้าหุ้นที่เพิ่งผ่านจุดต่ำสุดมา (หลัก Fibonacci ที่ 61.8%) แล้วรอขายที่ RSI ประมาณ 80-90% การเล่นยาว ก็ถือรอปันผล





กรณีการต่อต้าน ทรัมป์ ทั้งในอเมริกาและยุโรป แต่ตลาด DOW JONES, NASDAQ, S&P 500, FTSE 100-อังกฤษ, BOVESPA-บราซิล, ทำจุดสูงสุดใหม่ (All time high) ทั้งหมด หุ้นขึ้นพร้อมกันในตลาดใหญ่ของโลกเพราะ “America First” เหรอ???

ยังมี Nikkei, ASX 200, Hang Seng, KOSPI, DAX, IBEX 35, CAC 40 ทำจุดสูงสุดในรอบ 1ปี เหตุผลเพราะ?

…ก็มัน ย้อนศร ตามหัวข้อเรื่อง

อธิบายได้ว่า การมาของ ทรัมป์ ทำให้อเมริกาและยุโรปตื่นตระหนกมากว่า ทรัมป์ จะทำให้นโยบายเศรษฐกิจและการเมืองเปลี่ยนไปอย่างมาก จิตวิทยาของคนทั้งหมดจึง ขายหุ้น หรือ ทองคำ เพราะกลัวเหตุการณ์ไม่ดีต่างๆ จะเกิดขั้น และเกิดการขายพร้อมกันทั้งหมด แล้วรายใหญ่ของโลกก็ซื้อสินทรัพย์นั้นไว้ทั้งหมดเป็นระยะๆ จนทำให้ทุกตลาดที่ว่ามานั้นขึ้นไปพร้อมกันทั้งหมด

ส่วนในไทย ไม่ได้รู้สึกว่าทรัมป์จะส่งผลอะไรมากมายต่อเรา SET จึงไม่ได้ขยับขึ้นไปแบบตลาดต่างประเทศ -- ดูในยูทูบ คุณพิชัย พูดถึงประเด็นนี้ไว้ด้วย







BEC ขาดทุน 70ล้านบาท จากเคยกำไร 251ล้าน "กลุ่มทีวีดิจิตอลจะไม่ดี หุ้นกลุ่มนี้จะขึ้น" คุณดูยูทูบมากกว่าดูทีวีหรือป่าว? ตอนนี้หุ้นกลุ่มสื่อฯ ราคาถูก คือ เก็บได้ช่วงนี้ - คุณพิชัย พูดไว้ในยูทูบด้านล่าง

Bitcoin เป็นสินทรัพย์เก็งกำไรเกือบ 100% เพราะมีการใช้บิทคอยน์เพื่อใช้จ่ายจริงอาจไม่ถึง 1%  ณ วันนี้ราคาอยู่ที่ 43,200บาท/bitcoin ประมาณ 1,250ดอลลาร์ เป็นจุดสูงสุดตั้งแต่เกิดบิทคอยน์ขึ้นมา คือ บิทคอยน์ไม่มีพื้นฐานการเอาไปใช้จับจ่ายจริงๆ เหมือน ทองคำ หรือ เงินสกุลต่างๆ เราจะเห็นหุ้นที่ขึ้นลงแรงๆ เป็นลักษณะของการเก็งกำไรเต็มรูปแบบ แบบที่บิทคอยน์เป็น มีการคาดการณ์ว่าบิทคอยน์จะไปถึง 1,500ดอลลาร์ หรือประมาณ 52,500บาท มูลค่าสูงกว่าทองคำซึ่งเป็นแร่ที่แพงที่สุดในโลกเสียอีก


Bitcoin


ตลาดเก็งกำไรจึงแยกออกจากภาคเศรษฐกิจจริง ไม่สอดคล้องแบบแปรผันตรงต่อกัน จะมีผลต่อกันในช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น และตลาดเก็งกำไรแต่ละตลาดก็แยกจากกันไม่ส่งผลต่อกันด้วย เช่น Dow Jones ขึ้น SET ไม่ได้ขึ้นตามไปด้วยเลย

ตลาดเก็งกำไรจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงจาก จิตวิทยาของคนในตลาดนั้นๆ และ ปริมาณการซื้อขายของรายใหญ่ เป็นหลัก

ตลาดหุ้น เป็นที่ที่เราสามารถลงทุนได้ แต่ควรมีความรู้ที่ถูกต้อง ถ้าถือระยะยาวรอปันผล คุณจะได้ผลตอบแทน 10-20%/ปี แน่นอน หุ้นบางตัวราคาหุ้นเพิ่มขึ้นได้ 50-100% ไม่ยากเลย ลองดู TKN, MTLS, BEM เป็นธุรกิจที่เข้าใจได้ง่าย หรือ FN ร้าน Outlet ที่เพิ่งเข้าตลาดราคาก็เพิ่มขึ้น 25% แล้ว คุณเริ่มลงทุนวันนี้ คุณจะได้เห็นผลตอบแทนที่พอใจแน่นอน


หลายๆ เรื่อง
อาจจะไม่ได้เป็นแบบที่คุณเคย (ถูกทำให้) รู้


By zurrist






**บทความ อ้างอิง ทฤษฎีระบบผลประโยชน์

-วิกฤตกับหุ้น




หุ้นขึ้นแบบทะลุจอ
















3D Moving Electronica