Money In Stocks - ออมเงินในหุ้น

วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ขายแล้วซื้อหุ้นกลับ





ขายแล้วซื้อหุ้นกลับคืน (Short again port)


ในช่วงกลางปี 58 นี้หุ้นผันผวนมาก ทั้งบริษัทหลักทรัพย์และนักลงทุนบอก หุ้นช่วงนี้เล่นยากมากสำหรับการเก็งกำไร ในช่วงเดือนเมษายนมาถึงมิถุนายนนี้ ผมขาดทุนเพิ่มอีกรวมกับช่วงดัชนีที่ 1200จุด ทำให้เงินต้นหายไป 30% จึงทำให้ตัดสินใจว่าจะลงทุนระยะยาว 90% อีก 10% แบ่งไว้เก็งกำไรบ้าง ก่อนหน้านี้ทำไม่ได้สักทีขายทิ้งไปก่อนเพราะทนขาดทุนไม่ได้

ถ้าเราลองวางแผนลงทุน 5ปี ถ้าเริ่มด้วยเงินต้น 200,000บาท และใส่เงินเพิ่ม 4,000บาท ทุกเดือน คิดผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้ 1%ต่อเดือน จะเป็น 12%ต่อปี คือมีแบ่งการขายทำกำไรเป็นระยะถ้าราคาหุ้นขึ้นไปสูงเกินไป รวมกับการปันผลประมาณปีละ 3-5% (แบ่งขายทำกำไร 8% ปันผล 4%) สิ้นปีที่ 5 เราจะได้เงินสุทธิประมาณ 690,000บาท จากการลงทุนทบต้นแบบไม่ได้ถอนเงินออกมา เงินต้น 200,000 กับ 4,000x60เดือน=240,000 รวมเป็น 440,000บาท ผลตอบแทนที่ได้จริงเป็น 16%

ถ้าเรามองยาวแบบหวังอิสรภาพทางการเงิน เรามีเงิน 2ล้าน หรือลงทุนประมาณ 10ปี แล้วได้เงินรวม 2ล้าน รอรับปันผลที่ 5% จะได้ 100,000บาท หาร 12เดือน เรามีเงินใช้เดือนละ 8,333บาท ดูแล้วคงไม่พอใช้ ลองคิดที่ 3ล้าน จะเป็น 150,000ต่อปี, 12,500บาทต่อเดือน ถ้าแบบนี้คงพอใช้จ่ายได้เพียงพอในเบื้องต้น

ตัวอย่างข้างต้นเป็นการวางแผนลงทุนในระยะยาว 5-10ปี ที่คนเงินเดือน 15,000-20,000บาท สามารถทำได้ ส่วนเงิน 2แสนบาท ที่เป็นเงินก้อนเริ่มต้นคิดว่าคนที่วางแผนจะลงทุนน่าจะมีเงินเก็บที่สะสมมาบ้างแล้ว

ช่วงสองเดือนที่ผ่านมากหลายคนคงจะติดหุ้นกันเยอะเพราะตลาดย่อตัวลงมาเป็นระยะและมีการขายทำกำไรรุนแรงมากขึ้นลง 10-20จุด เป็นรายวัน ผมเคยได้ยินคำว่า Short again port มาบ้างแต่ก็ไม่เคยทำมาก่อน จนช่วงนี้ได้เข้าหุ้นที่คิดว่าจะถือยาวๆ หน่อย ปรากฎว่าเข้าตัวไหนติดตัวนั้นเพราะตลาดปรับตัวลงมาตลอด เช่น JMART, SAMART, KTB, SPALI, RS, SGP แต่หุ้นเหล่านี้มีปันผลประมาณ 3-4% เราสามารถถือไปก่อนได้แม้ว่าจะขาดทุน ถ้าเราตั้งใจจะลงทุนระยะยาว อย่าง JMART ก็รีบาวด์กลับขึ้นมาแล้ว

พอติดหุ้นที่ว่านี้เลยลอง Short again port ดู คือ ขายหุ้นตัวนั้นทิ้งไปและกลับเข้าไปซื้อคืนในจุดที่ต่ำกว่าเดิม เช่น KTB ติดที่ 22.80บาท เราขายทิ้งไปแล้วลงไปรับที่ 18บาท เพื่อรอให้ราคากลับมาที่เดิมตัดขาดทุนในราคาที่เข้าซื้อแล้วติดก่อนหน้า หรือไปรับที่ 18บาท ในพอร์ตที่สองถ้าเรามีพอร์ตหุ้นมากกว่าหนึ่งพอร์ต ตัวที่ติดในพอร์ตที่1 เราถือรอให้ราคากลับขึ้นมาได้โดยไม่ต้องขายทิ้ง

มีอีกคำคือ Hedge แปลว่า ป้องกัน ในที่นี้คือ ป้องกันความเสี่ยง จากการผันผวนของราคาหุ้น เป็นคำที่ใช้ในกองทุนแบบ Hedge Fund สำหรับกองทุนที่เชียวชาญเขาก็จะมีการเล่น TFEX เพื่อ hedge กับการถือหุ้นที่มีอยู่ เช่น ถ้าหุ้นราคาต่ำลง เขาก็เล่น TFEX ในขาลง เป็นต้น

สำหรับนักลงทุนที่เล่นหุ้นอย่างเดียว เราใช้หลักการนี้ได้ด้วยการเล่น DW (Derivative Warrant) เช่น ห้น ITD เป็นขาลง เราเข้าเล่น ตัว Put ของ DW-ITD ที่เป็นตัวขาลง เช่น ITD01P1508A เพื่อป้องกันการขาดทุนแบบที่ Hedge Fund เขาทำกัน

เราสามารถดูการเล่น TFEX ของตลาดได้ในโปรแกรม Streaming ที่เราใช้อยู่ จากในภาพ SET50 อยู่ที่ 997จุด มีการเข้าเล่น SET50 Index Future ที่ 985 (S50U15) เป็นจุดสังเกตุว่า SET จะปรับตัวต่ำลง จากการเก็งกำไรใน TFEX


SET50 อยู่ที่ 997จุด


ทั้ง Short again Port และ การ hedging เราก็สามารถนำมาใช้ได้แม้ว่าเราจะเล่นหุ้นเพียงอย่างเดียว ไม่ได้มี TFEX หรือ Future แบบนักลงทุนที่พอร์ตใหญ่ๆ

และกองทุน ETF ช่วยให้เราลงทุนในทองคำได้ในเวลที่หุ้นผันผวนแบบนี้ โดยเราไม่ต้องไปเสี่ยงกับ Gold Future และเราก็ short again port ได้เช่นกัน โดยทำในตัวเดียวกัน ขายแล้วลงไปรับ หรือ ซื้ออีกกองที่ได้ราคาต่ำกว่ากองแรก เช่น TGOLDETF และ GLD ถ้าเราเข้า TGOLDETF สูงไป ราคาทองคำโลกต่ำลงไปอีก เราเข้าไปรับ GLD ที่ราคาต่ำกว่าได้ เพื่อ short again port แต่ยังถือ TGOLDETF ต่อได้ โดยเรามองกองทุนสองกองเป็นหุ้นตัวเดียวกันที่อ้างอิงทองคำ คือถัวเฉลี่ยราคากันเหมือนเป็นการซื้อหุ้นตัวเดียวกัน

เมื่อราคาทองคำต่ำกว่า 1,180ดอลล่าร์ต่อออนซ์ เราก็เข้าเก็บกองทุนเพิ่ม คือ กองทุนทองคำราคาจะปรับตามราคาทองคำโลก เช่น TGOLDETF ราคาอยู่ที่ 3.87บาท เรารอราคาทองคำต่ำกว่า 1,200ดอลล่าร์ แล้วหาจังหวะที่กองทุนย่อตามจึงเข้าเก็บ คือเก็บที่ต่ำกว่า 3.87 โดยรอบขายทำกำไรประมาณ 3 เดือนขึ้นไป

และกองทุนพลังงานอ้างอิงราคาน้ำมัน เช่น ENGY และ ENY ก็ป้องกันความเสี่ยงได้เช่นกัน รอรับและซื้อเพิ่มเมื่อราคาน้ำมันโลกต่ำกว่า 60ดอลล่าร์ต่อบาร์เรล และกองทุนพลังงานจะมีปันผลประมาณ 1.7% แต่กองทุนทองคำไม่มีปันผล การทำกำไรจะเหมือนกับกองทุนทองคำแต่เราดูที่ราคาน้ำโลกเพื่อหาจุดซื้อ

ทั้งกองทุนทองคำและพลังงาน มีความเสี่ยงน้อยเพราะราคาไม่ผันผวนมาก ช่วยให้เรามีทางเลือกลงทุนเมื่อตลาดเป็น sideway นอกจากนี้เราลงทุนอีกทางเลือกในกองทุน LTF ที่จะได้ผลตอบแทนประมาณ 4-5% ได้อีก เพื่อกระจายความเสี่ยงได้อีก LTF ผลตอบแทนก็พอๆ กับการรอรับปันผลหุ้นรายตัว แต่ความเสี่ยงต่ำกว่า

ถ้าต้องการเปิดพอร์ตหุ้นอันที่สองช่วงนี้ทำได้ง่าย ลองดูของกรุงไทย เปิดโดยไม่ต้องมีเงินขั้นต่ำไปแสดง  เปิดพอร์ตเปล่าๆ รอไว้ได้เลย และถ้าเปิดกับหลักทรัพย์ที่ไม่ใช่ธนาคารค่าธรรมเนียมในการซื้อขายหุ้นจะไม่มีขั้นต่ำ 50บาท คิด 0.015% เท่านั้น เหมาะสำหรับคนเน้นเล่นแบบเก็งกำไร ข้อดีของหลักทรัพย์ที่เป็นธนาคาร คือการฝากถอนเงินที่ผูกกับพอร์ตหุ้นจะสะดวกในการเอาเงินเข้าออกได้ด้วยตัวเอง

แม้ว่าช่วงนี้ตลาดจะผันผวนแบบ Sideway down แต่ยังมีการเก็งกำไรกันตามปกติ แต่จะต้องระวังและเลือกหุ้นเป็นรายตัว เราอาจใช้โปรแกรมสแกนหุ้นเพื่อหาหุ้นในการแก็งกำไรได้ โดยผมก็จะแบ่งเงิน 10% มาเก็งกำไรรายตัวโดยหวังว่าจะได้เงินต้นกลับคืนมาบ้าง แต่ถ้าขาดทุนก็จะต้อง cut loss ให้ทันโดยเฉพาะตลาดในช่วงนี้

คำสั่งที่ผมเลือกใช้สแกนหุ้นจะเป็น MACD Buy Signal เลือกทั้งแบบ Day, Week หรือ Month ได้เลย แล้วเอาหุ้นตัวไหนมาดูกราฟว่าเป็นขาขึ้นหรือไม่ คือ มีความชัน 30-40องศา แท่งเทียนตัดจุดกึ่งกลาง Bollinger Band และเกาะอยู่บนเส้นค่าเฉลี่ย 5 วัน, ค่า RSI 45-60 ลากเส้น Trend line หรือดูราคาที่ต่ำลงประมาณ 3% เป็นแนวตัดขาดทุนถ้าหุ้นตัวนั้นไม่ไปต่อ เลือกตัวที่มีปริมาณการซื้อขาย 1ล้านหุ้นขึ้นไป ยิ่งมากยิ่งดีบางตัวมียอด 50ล้านหุ้นต่อวัน


หุ้นที่สแกนได้


ถ้าใครไม่มีโปรแกรมสแกนหุ้นหรือไม่อยากเสียเงินเพิ่ม เราเข้าไปที่หน้า Most Active เลยครับ ทั้งหน้า most value และ most volume ชอบตัวไหนเลือกมาหนึ่งตัว แล้วเข้าไปดูกราฟ ถ้ากราฟยังเป็นขาขึ้นเราเลือกเข้าซื้อเพื่อทำกำไรระยะสั้นได้

ในช่วงนี้ทั้ง บล. และนักวิเคราะห์ หลายๆ คน มองว่าตลาดเป็น Sideway Down คือ ผันผวนแบบขาลง และมองว่าตลาดคงจะกลับขึ้นไปไม่ถึง 1,600จุด ถ้านี้เป็นความคิดของคนส่วนมากและดูสภาพเศรษฐกิจก็ไม่ดี มีภาวะเงินฝืด มีหนี้ที่เป็น NPL เพิ่มขึ้นในส่วนของสิ้นเชื่อบุคคล รวมทั้งหนี้ SME ก็สูงขึ้นมากด้วย ส่งออกก็ไม่ดี มีเพียงท่องเทียวที่ดีกว่ากลุ่มอื่น จุดนี้ในแนวทางของทฤษฎีผลประโยชน์จะมองตรงข้ามว่า ตลาดหุ้นจะผ่าน 1,600จุด ขึ้นไปได้และอาจจะทำ New high ใหม่ สูงกว่าจุดเดิมที่ 1,789จุด ได้ในช่วงที่เปิด AEC ได้เรียบร้อยแล้ว

เราลดความเสี่ยงจากการขาดทุนโดยการถือหุ้นลงทุนระยะยาว และเล่นเก็งกำไรบ้างพอให้สนุกๆ ถ้าขาดทุนก็ไม่มาก ถ้ากำไรก็สร้างกำลังใจในการลงทุนเอาเงินต้นกลับมาได้บางส่วน


By zurristic


๐๐๐


--โปรแกรมสแกนหุ้น (App โหลดฟรี แต่การสแกนหุ้นจ่ายเงินเพิ่ม)




คุณพิชัย จาวลา พูดว่า หลังเปิด AEC หุ้นไทยอาจจะไปได้ถึง 2,000จุด





ลักษณะกราฟที่มีเทรนขาขึ้น



ติดตามดูหุ้นที่เลือกมา (คลิ๊ก ดูภาพขยาย)











3D Moving Electronica