Money In Stocks - ออมเงินในหุ้น

วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2554

หน้าร้อน! ระวังกระมาเยือน



หน้าร้อน! ระวังกระมาเยือน


………หน้าร้อนแบบนี้สาวๆ หลายคนกังวลเรื่องปัญหากระที่มาเยือนบนใบหน้าโดยไม่รู้ตัว ยิ่งสาวๆ ที่มีผิวขาวก็ต้องยิ่งระวังมากเป็นพิเศษเพราะว่าผิวจะไวต่อแสดงแดดมากกว่าสาวผิวคล้ำเนื่องจากมีเม็ดเมลานินน้อยกว่าสาวผิวคล้ำ เพราะเม็ดเมลานินมีหน้าที่ป้องกันอันตรายจากแสงแดด เวลาสัมผัสแสงแดดเป็นเวลานาน นั่นเอง
กระมีหลายชนิดมีทั้ง

1. กระตื้น เกิดจากแสงแดดหรือลม มีลักษณะเป็นจุดเล็กๆ เกิดได้ทั่วใบหน้า ไม่นูน ส่วนมากจะเป็นสีน้ำตาล
2. กระเนื้อ เกิดจากแสงแดดหรือลม มีลักษณะเป็นจุดเล็กๆ มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1-2 มม. เกิดได้ทั่วใบ เน้นขมับหรือหน้าผาก จะนูนขึ้นมาจากผิวหนัง ส่วนมากจะเป็นสีน้ำตาล
3. กระลึก เกิดได้จากกรรมพันธุ์ หรือจากฮอร์โมน จะเป็นกระที่เกิดขึ้นใต้ผิวหนัง จะมีสีเทาๆอมน้ำเงินถึงสีดำๆ กว้างกว่ากระเนื้อ มีลักษณะเป็นวงกลมๆ มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2-3 มม. ส่วนมากจะขึ้นบริเวณโหนกแก้ม

วิธีการรักษา

………ปัจจุบันการรักษากระสามารถทำได้ง่ายและเห็นผลได้ชัดเจนขึ้นด้วยการเลเซอร์ ซึ่งไม่ว่ากระตื้น กระเนื้อ และกระลึกสามารถรักษาด้วยวิธีการเลเซอร์ ซึ่งจำนวนครั้งในการทำเลเซอร์จะอยู่ที่ลักษณะของกระที่ขึ้นบนใบหน้าว่าเป็นกระชนิดใด
กระตื้น – สามารถรักษาด้วยวิธีการเลเซอร์ ทำเพียง 1 -2 ครั้งกระก็จะจางหายไป
กระลึก – เป็นกระที่เกิดจากกรรมพันธุ์ ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถรักษาด้วยเลเซอร์ให้จางหายไปได้ ความถี่ในการทำ 2-5 ครั้งแล้วแต่กรณี และยังสามารถรักษาได้ด้วยวิธีการกรอผิวหน้า เพียง 1-2 ครั้งก็จะเห็นผลชัดเจน

วิธีป้องกันและยืดระยะเวลาในการเกิดกระให้น้อยที่สุดและช้าที่สุด
1. บำรุงผิวหน้าและทาครีมกันแดดทุกวัน ไม่ว่าจะอยู่ในร่ม หรือ กลางแจ้ง
2. หลีกเลี่ยงช่วงเวลาที่มีแดดแรง 9 โมงเช้า – 5 โมงเย็น หากมีความจำเป็นต้องเผชิญกับแสงแดดและลมแรงให้กางร่มและสวมหมวก
3. ในกรณีที่มีลมแรงๆ ควรปกปิดใบหน้าเพื่อไม่ให้โดนลมและไอร้อนจากแสงแดดด้วย

……..ขั้นตอนเหล่านี้จะช่วยยืดระยะเวลาในการเกิดกระขึ้นมาใหม่ได้นานขึ้น แต่ทางที่ดีสำหรับผู้ที่มีปัญหากระควรมาปรึกษาแพทย์ด้วยตัวเอง แพทย์จะได้แนะนำวิธีรักษาได้อย่างถูกต้อแม่นยำยิ่งขึ้น

ข้อมูลจาก ยศการคลินิก




อาบน้ำอย่างไรให้ผิวสวย


คุณสาวๆที่รู้สึกขยาดกับความเย็นวาบของน้ำเย็นน้ำร้อนน่าจะเป็นคำตอบที่ดีค่ะ เพียงแต่ต้องระวังนิดนึง โดยควรตั้งอุณหภูมิไว่ที่ 38-40 องศาเซลเซียส แต่ไม่ควรนานเกินกว่า 10-15 นาที ซึ่งน้ำร้อนจะทำให้รูขุมขนเปิดกว้าง ดังนั้นหลังจากการอาบน้ำควรทาครีมบำรุงผิวแห้งจากการสูญเสียไขมันขณะอาบน้ำ จากนั้นหากได้จิบชาร้อนๆสักถ้วยยิ่งดีเลยค่ะ


สำหรับสาวๆที่ขี้ร้อน ชอบความสดชื่นเป็นชีวิตจิตใจ เหมาะกับน้ำเย็นมากที่สุด โดยควรให้อุณหภูมิอยู่ที่ 21-27 องศาเซลเซียส ช่วยลดอาการอ่อนเพลียของกล้ามเนื้อและทำให้ผิวพรรรเต่งตึง รวมถึงระบบหายใจอีกด้วย
โดยเริ่มจาการค่อยๆราดน้ำเย็นบนใบหน้า แขนและขา เพื่อให้ร่างกายปรับตัว จากนั้นให้ใช้ฟองน้ำขัดเบาๆค่ะ ขั้นตอนสุดท้ายอย่าลืมใช้ฝ่ามือตบเบาๆทั้งตัวเพื่อกระตุ้นเซลล์ผิวหนังและผ่อนคลายกล้ามเนื้อ


เคล็ดลับ 3 ขั้นตอนสู่ผิวสวย

1. ปัดถูร่างกายก่อนอาบน้ำ
ขอแนะนำให้คุณสาวๆนำผ้าขนหนูแห้ง โดยจับปลายผ้าทั้ง 2 ข้างไว้ แล้วเริ่มถูไปตามร่างกาย จุดละประมาณ 20 ครั้ง เพิ้อขจัดคราบไคล ฝุ่นละอองที่เพิ่งผจญมาทั้งวัน หรือเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดไป ไม่จำเป็นต้องลงน้ำหนักมากหรือนานไปนะคะ เพราะผิวบอบบางอาจจะถูกทำร้ายำด้ค่ะ


2.ขัดผิวขณะอาบน้ำ
โดยแนะนำ Scrub สำหรับขัดทุกส่วนของร่างกาย เหมาะกับผิวที่ละเอียดอ่อนเท่านั้น อย่างหน้าอก หรือลำคอ ส่วนฟองน้ำ ใยบวบ หรือแปรงเหมาะกับผิวส่วนแขน ขา ไหล่และหลัง เพราะรองรับการขัดถูได้ดี สำหรับหินขัดแบบโบร่ำโบราณนั้นแน่นอนที่สุดควรใช้กับจุดที่แห้งกร้านอย่างข้อศอก เข่า หรือเท้าเท่านั้นค่ะ


3.นวดและฉีดน้ำ
ขณะอาบน้ำ เมื่อเกิดฟองสบู่สาวๆควรนวดไปมาวนเป็นวงกลมเพื่อผ่อนคลายและกระตุ้นการหมุนเวียนของเลือด หากใช้กับฝักบัวก็ให้เปิดแรงๆลงบนร่างกาย โดยวนไปมารอบอก ย้อนขึ้น-ลงบริเวณ แขน-ขา ก็จะช่วยให้ผิวมีสุขภาพดี เปล่งปลั่งมากขึ้นค่ะ


ที่มาจาก นิตยสาร star fashion ฉบับที่ 183 คอลัมภ์ Healthy corner by taity
http://is-songhits.com





--- ราคาสินค้านูสกินทั้งหมด

--- facebook AeKK



วันพุธที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2554

ไวทาลิตี้

ขวดละ 2,100 บาท





สุขภาพกาย สุขภาพจิต และ สุขภาพทางเพศ

หยุดอายุ คืนสู่ความหนุ่มสาวอีกครั้ง







วันอังคารที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2554

แป้ง นู สกิน



นู คัลเลอร์ ® มอยเจอร์เฉด ® เวท/ดราย เพรส พาวเดอร์ - เนเชอรัล ฮันนี่

แป้งแข็งที่ช่วยให้ผิวเรียบเนียนดุจใยไหม ติดทนนาน มีคุณสมบัติทั้งเป็นแป้งแข็งและรองพื้นได้ในตลับเดียว ช่วยปกปิดริ้วรอยได้ดี ลดความมันเงาของผิว ทำให้ใบหน้าสดใส


***เฉพาะเเป้งแบบรีฟิลล์ไม่รวมตลับ (400 บาท)


รายการ: 19160406 ขนาด: 11.3 กรัม


ประโยชน์

1.ใช้ได้ทั้งในรูปแบบแห้งและเปียก เพื่อความเรียบเนียน ติดทนนาน
2.ดูดซับน้ำมันส่วนเกิน


ส่วนประกอบสำคัญ

แป้งข้าว – ทำให้ทาง่ายและดูดซับน้ำมันส่วนเกิน
ไนลอน – ช่วยให้เกลี่ยง่าย เรียบเนียน
ซิลิคา - ช่วยทาได้นุ่มนวล เหมือนแพรไหม






แป้งฝุ่นโปร่งแสง - ลินิน แมทท์

แป้งฝุ่นเนื้อละเอียดและเบาบางเป็นพิเศษ ช่วยปกปิดรูขุมขน ให้ผิวเนียนเรียบอย่างเป็นธรรมชาติ ช่วยในการแต่งหน้าที่กลมกลืน ไม่ทำให้สีผิวเปลี่ยน ทั้งยังช่วยในการดูดซับน้ำมันส่วนเกินและลดความมันบนใบหน้า ทำให้เครื่องสำอางติดทนนาน เหมาะกับทุกสภาพผิว

รายการ: 19161202 ขนาด: 30 กรัม

ประโยชน์

1.ช่วยในการปกปิดรูขุมขนให้ผิวหน้าเนียนเรียบอย่างเป็นธรรมชาติ
2.ช่วยให้การแต่งหน้ากลมกลืนกับสีผิวตามธรรมชาติ
3.ช่วยในการดูดซับน้ำมันส่วนเกิดและความมันบนใบหน้า
4. ทำให้เครื่องสำอางติดทนนาน
5.สารต้านอนุมูลอิสระช่วยปกป้องผิว

ส่วนประกอบสำคัญ

แป้งข้าว – ทำให้ทาง่ายและดูดซับน้ำมันส่วนเกิน
ไนลอน – ช่วยให้เกลี่ยง่าย เรียบเนียน
ซิลิคา - ช่วยทาได้นุ่มนวล เหมือนแพรไหม


** เฉดสีแป้งทั้งหมด


--------------------------------------
คัดลอกรายการสินค้าที่ต้องการลงฟอร์มเมลขวามือ ครับ

-- มอยเจอร์เฉด ® เวท/ดราย เพรส พาวเดอร์ - เนเชอรัล ฮันนี่ ราคา 735 บาท

-- ตลับแป้ง ราคา 400 บาท

--แป้งฝุ่นโปร่งแสง - ลินิน แมทท์ ราคา 980 บาท


*ค่าส่งทาง EMS 100 บาท

---------------------------------------

วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2554

แคลเซียม ของคนต่างวัย



แคลเซียม กับความต้องการของคนต่างวัย


เชื่อว่าทุกคนคงรู้ถึงคุณประโยชน์ของ แคลเซียม เป็นอย่างดีแล้ว ว่ามีผลดีต่อร่างกายทช่วยให้กระดูกแข็งแรง และเมื่อเร็วๆนี้มีงานวิจัยที่พบว่าแคลเซียมสามารถช่วยต่อต้านได้อย่างดีต่อโรคความดันโลหิตสูง อาการหัวใจกำเริบ อาการปวดก่อนมีประจำเดือนและมะเร็งลำไส้ แต่คนส่วนน้อยมักละเลยว่าการได้รับแคลเซียมต่อวันนั้นย่อมต้องคำนึงถึงวัยเป็นสำคัญด้วย ดังนั้น wp จึงมีข้อมูลมานำเสนอให้คุณผู้อ่านได้ทราบกันค่ะ


หญิงตั้งครรภ์
สำหรับหญิงมีครรภ์แล้ว แคลเซียม นับได้ว่าเป็นแร่ธาตุที่สำคัญต่อสภาวะการตั้งครรภ์อย่างมาก ควรได้รับ 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน จำเป็นต้องได้รับมากกว่าคนธรรมดาเป็นพิเศษ เนื่องจากจะต้องถ่ายทอดแร่ธาตุดังกล่าวสู่ลูกเพื่อการพัฒนาโครงสร้างร่างกายของทารกในครรภ์ ดังนั้นหญิงมีครรภ์จึงมีโอกาสเสี่ยงสูงที่จะขาดแคลน แคลเซียม นอกจากจะช่วยให้พัฒนาการเติบโตของทารกในครรภ์เป็นปกติแล้ว ยังมีส่วนช่วยรักษาเสถียรสภาพความหนาแน่นกระดูกในแม่ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเกี่ยวกระดูกหรือโรค กระดูกพรุน ในภายหลังได้

วัยเด็ก
เด็กๆ ต้องการ แคลเซียม มากกว่าวัยผู้ใหญ่และวัยสูงอายุ เด็ก (1-10 ปี) ควรได้รับ 800 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน เพื่อนำมาเสริมสร้างความแข็งแรงให้แก่กระดูกและฟัน และส่วนอื่นๆ เพื่อใช้เป็นโครงสร้างของร่างกาย โดยการสะสม แคลเซียม ในเด็กที่หัดพูดจะช้าแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในวัยหนุ่มสาว ซึ่งจากการศึกษาพบว่าถ้าปริมาณ แคลเซียม ในร่างกายเด็กต่ำ จะทำให้ขบวนการสะสมเกลือแร่ในกระดูกและความหนาแน่นของกระดูกต่ำ เป็นผลให้เกิดโรคกระดูกอ่อนหรือโรคกระดูกค่อมงอได้ สิ่งที่สำคัญของช่วงอายุนี้คือ การพัฒนารูปแบบการบริโภคให้สอดคล้องกับระดับ แคลเซียม ที่ร่างกายต้องการให้เพียงพอ เพื่อพัฒนาความหนาแน่นของกระดูก ให้การเติบโตของเด็กเป็นปกติ อีกทั้งยังเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงการเป็นโรคเกี่ยวกับกระดูกในช่วงต่อไปของชีวิตได้

วัยหนุ่มสาว
จากการศึกษาวิจัยแสดงว่า ช่วยอายุ 11-24 ปี เป็นช่วงที่ร่างกายดำเนินขบวนการก่อรูปกระดูก โดยถ้าร่างกายได้รับ แคลเซียม ในปริมาณที่ต่ำกว่าร่างกายต้องการ จะก่อให้เกิดปัญหาตามมาในภายหลังซึ่งถ้าขาดอย่างร้ายแรงจะก่อให้เกิดโรคกระดูกอ่อน มีอาการเจ็บกระดูก เจ็บกล้ามเนื้อ และเมื่อประสบกับการกระดูกหัก กระดูกจะสมานให้เหมือนเดิมได้ช้า ควรได้รับ 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน สิ่งสำคัญคือ การรักษาระดับการบริโภคอาหารให้สอดคล้องกับระดับ แคลเซียม ที่ต้องการเพื่อป้องกันโรคเกี่ยวกับกระดูก ถ้าจะต้องมีการสูญเสียไปในภายหลังของช่วงชีวิต โดยถ้าเราได้รับ แคลเซียม ตั้งแต่อยู่ในวัยหนุ่มสาวหรือกลางคนอย่างสม่ำเสมอและพอเพียง อายุการสึกหรือผุกร่อนตามธรรมชาติก็จะยืดออกไปได้อีกนานกว่าคนที่รับแคลเซียมไม่เพียงพอ

วัยกลางคนถึงวัยสูงอายุ
คนเราปกติจะมีโอกาสสูญเสีย แคลเซียม จากกระดูกเมื่อเรามีอายุมากขึ้น เพราะว่าเมื่ออายุเกินกว่า 30 ปีแล้ว ร่างกายจะไม่สะสม แคลเซียม อีกต่อไป โอกาสเผชิญกับโรคเกี่ยวกับกระดูกจะสูงถ้าร่างกายไม่ได้รับ แคลเซียมอย่างเพียงพอ ซึ่งควรได้รับ 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหญิงวัยหมดประจำเดือนซึ่งการศึกษาพบว่าร่างกายจะสูญเสียกระดูกในช่วงประมาณ 5-6 ปีแรกหลังจากหมดประจำเดือน เนื่องจากการลดลงของฮอร์โมน oestrogens และประสิทธิภาพในการสร้าง Vitamin D ก็ลดลงตามวัยที่เพิ่มมากขึ้น จึงมีแนวโน้มจะเป็นโรค กระดูกพรุนสูง ดังนั้นคนในวัยสูงอายุที่มีการเสริม แคลเซียม ให้กับกระดูกอย่างเพียงพอ จะช่วยยับยั้งการสูญเสียกระดูกในช่วงนี้ได้ การเผชิญกับการผุกร่อนของกระดูกจะน้อยลง ความเสี่ยงที่ต้องเผชิญกับโรคที่เกี่ยวกับกระดูกเมื่อย่างเข้าสู่วัยทองก็น้อยลงหรืออาจไม่เกิดขึ้นเลยก็ว่าได้


ที่มาบทความจาก woman plus


กินอย่างไรให้ไกล 10 โรค


อาหารนอกจากจะให้เราอิ่มอร่อยแล้ว รู้หรือไม่ว่า “อาหาร”หากเราเอาใจใส่เรื่องการกินสักนิด เราก็สามารถป้องกันและรักษาโรคได้


1.เรอบ่อย
วิธีแก้คือควรดื่มน้ำมันฝรั่งต้มวันละ 3 แก้ว จะช่วยลดอาการเร่อบ่อยได้ เพราะหากมีอาการเช่นนี้บ่อยๆอาจเป็นที่รังเกียจของเพื่อนๆได้

2.ท้องอืดท้องเฟ้อ
ถ้ามีสาเหตุจากการกินอาหารจำพวกขนมปัง พุดดิ้ง ให้แก้ด้วยการกินแตงกวาดอง หรือดื่มน้ำเก็กฮวยร้อนๆสัก1-2ถ้วยต่อวัน


3.ความดันโลหิตต่ำ
หลังตื่นนอนให้ดื่มน้ำหนึ่งแก้ว และเลือกรับประทานอาหารที่ปรุงด้วยเกลือ เพราะเกลือจะทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น โดยเฉพาะคนที่ชอบหน้ามืดบ่อยๆเวลายืนหรือตื่นนอน หากรู้สึกเมื่อยล้า ให้กินผักผลไม้ที่มีวิตามินซี เช่น กีวี มะเขือเทศ ฝรั่ง จะช่วยให้ความดันโลหิตสูงขึ้นและหลั่งฮอร์โมนแห่งความสุขด้วย


4.ความดันโลหิตสูง
ให้กิน กล้วย แตงกวา เพราะมีโพแทสเซียมสูงที่ช่วยลดน้ำในเลือดและทำให้ความดันโลหิตลดลง หากความดันสูงและอ่อนเพลียให้กินอาหารที่มีกรดอะมิโน Tryptophanเช่นมันฝรั่ง ถั่ว ข้าวโอ๊ต เนย เป็นต้น และมื้อค่ำควรเสริมด้วยคาร์โบไฮเดรตเช่น ข้าว ผลิตภัณฑ์ธัญพืชไม่ขัดสีและทานเนื้อสัตว์เพียงเล็กน้อย ต่อมาวิตามินอีช่วยปกป้องเส้นเลือดไม่ให้แข็งตัว วิตามินอีมีมากในน้ำมันโดยเฉพาะน้ำมันงาจะให้ผลดีที่สุดคือเหยาะน้ำมันงาในสลัด


5.ซึมเศร้า
ให้กินข้าว ผักดิบวันละหนึ่งครั้ง น้ำมันงา ส่วนเนื้อสัตว์และไส้กรอกกินให้น้อยลงน้อย และมื้อค่ำไม่ทานเนื้อสัตว์


6.นอนไม่หลับ
ให้กินถั่ววันละหนึ่งกำมือ เพราะในถั่วมีไนอาซินสูงซึ่งมีการผลิตฮอร์โมนเซโรโทนินที่เป็นฮอร์โมนแห่งความสุข ทำให้นอนหลับสบายขึ้น หรือทางที่ดีให้เลือกกินอาหารที่ย่อยง่ายๆ


7.อากาศเปลี่ยนทำให้ปวดศีรษะ ง่วง ฯลฯ
วิธีแก้คือ งดกินผลไม้ในช่วงเช้า ควรกินอาหารที่มีโปรตีนและวิตามินบี เช่น แตงกวาดอง ควรกินอาหารเบาๆ เช่น ข้าว ผัก ผลไม้ และปลา ฯลฯ

8.PMSก่อนมีประจำเดือน
ควรกินอาหารที่มีวิตามินบี 6 เช่น ผลิตภัณฑ์ธัญพืชไม่ขัดสี มันฝรั่ง ผลไม้เปลือกแข็ง หากขาดวิตามินบี 6 จะทำให้ซึ่มเศร้า หิวจัดและเจ็บเต้านม

9.กระดูกพรุน
ให้เลือกกินอาหารที่มีแคลเซียม ในนม บล็อกโคลี่ ผักขม ฟอลฟอรัสในอาหาร เช่น อาหารสำเร็จรูป น้ำดำ ซอฟต์ดิ๊งก์ จะลดการดูดซึ่มแคลเซียม รวมทั้งมูสลี่และข้าวโอ๊ตก็จะขัดขวางการดูดซึมแคลเซียมเช่นกัน กินโยเกิร์ตวันละ 2 ถ้วย แบคทีเรียในกรดนมจะช่วยในการดูดซึมแคลเซียมได้ดีขึ้น ฟลูโอไรน์จะช่วยกระตุ้นในการสร้างเซลล์กระดูกมีมากในถั่ว ชาเขียว ปลา ดื่มชาเขียวทุกวันเพื่อในการดูดซึมแคลเซียมเข้าไปในกระดูกวิตามินดีช่วยในการดูดซึมแคลเซียมในร่างกายมีมากในผลิตภัณฑ์นมและปลา

10.วัยทอง(วัยอื่นก็ได้)
ควรดื่มน้ำเต้าหู้วันละแก้วหรือกินพวกนมถั่วเหลือง และโยเกริร์ตวันละถ้วย เพราะแบคทีเรียจากกรดนมจะช่วยในการดูดซึมเอสโตรเจนจากอาหาร เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงอย่าลืมนะคะ


http://women.mthai.com/health/19662.html







วันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2554

การทำ AHA และ Ionto

การทำ AHA และ Ionto

AHA

กรดอัลฟ่าไฮดร๊อกซี่ หรือกรด AHA ( Alpha Hydroxy Acid ) เป็นกรดที่ได้จากผลไม้ตามธรรมชาติ เช่น กรด แลคติค ในนมเปรี้ยว กรดทาร์ทาริก ที่พบบ่อยในไวน์ ที่บ่มนานๆ หรือกรด ไกลคอลิก ในอ้อย พบว่า กรด AHA มีคุณสมบัติในการ กระตุ้นเซลล์ ชั้นหนังกำพร้า ให้หลุดลอกออก แล้วเร่งให้มีการสร้าง เซลล์ผิวหนัง ใหม่ ขึ้นมาแทนที่ ผิวหนังใหม่จึงดูสดใส ขาวนวลกว่า เหมือนผลัดผิวใหม่


แม้กรด AHA จะมีส่วนช่วยให้ผิวขาวขึ้น ทำให้ริ้วรอยด่างดำ จางลงได้ แต่ก็ควรเลือกผลิตภัณฑ์ ที่มีกรด AHA ในปริมาณความเข้มข้นของกรดต่ำ เพราะอาจทำให้ผิวหน้าลอกได้ หากไม่มั่นใจ ควรขอคำปรึกษา จากแพทย์ผิวหนัง สามารถทำต่อเนื่องได้6 ครั้ง โดยเว้นระยะครั้งละ2-3 สัปดาห์ แต่จะใช้น้ำยาความเข้มข้นสูงหรือต่ำขนาดใด และลอกบ่อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละคนด้วยค่ะ


ส่วนการทำ AHA เป็นการใช้กรดผลไม้ทาผิวหน้า เพื่อช่วยทำให้เซลล์ที่หมองคล้ำของผิวหน้าในชั้นหนังกำพร้าส่วนบนหลุดลอกออกง่ายขึ้น พร้อมกับกระตุ้นสร้างเซลล์ใหม่ที่สดใส ส่วนที่เป็นครีม Whitening ทั้งหลาย ส่วนประกอบจะมีครีมกันแดดและแป้งเป็นหลัก ก็เลยทำให้ผู้ใช้ดูขาวขึ้นค่ะ


Ionto

ไอออนโต ป็นการขับยาหรือวิตามินเข้าสู่ผิวหนังโดยการปล่อยกระแสไฟฟ้าปริมาณต่ำ ๆ เพื่อช่วยผลักตัวยาเข้าสู่ผิวหนัง ทำให้เห็นผลเร็วกว่าทายาทั่วไป เพื่อทำให้หน้าขาวและลบริ้วรอย การที่ใช้พลังงานไฟฟ้าจากอัลคาไลน์ แบตเตอรี่ความแรงประมาณ 9 โวลท์ผลักดันโมเลกุลของยาเข้าสู่ชั้น หนังแท้ของเรา ส่วนตัวยาที่ใช้ก็ต้องเป็นยามีคุณสมบัติยินยอม ที่จะถูกผลักโดยกระแสไฟฟ้าให้เข้าสู่ผิวพรรณตรงนั้นได้ ที่ใช้ในปัจจุบัน คือ วิตามินซี ฟอร์มที่ไม่สลายง่าย โดยหวังว่าวิตามินซีจะช่วยลบรอยดำบนใบหน้าได้ ปฏิบัติการนี้นิยมทำสัปดาห์ละครั้งส่วนตัวยาวิตามินซีละลายในน้ำกลั่นดังนั้นสิ่งที่ทาบนผิวหน้าจะประกอบด้วย วิตามินซี น้ำกลั่นและกระแสไฟฟ้า 9 โวลท์ ทำครั้งละ10-15 นาทีสัปดาห์ละครั้งเป็นเวลา 2-3 เดือน


เครื่องมือนี้ควรใช้โดยแพทย์เท่านั้น เนื่องจากในการใส่ยาเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ผลข้างเคียงก็มีได้บ้าง เช่น เกิดการระคายเคืองที่ผิว แสบร้อน จุดแดงๆ ขนาดเล็กกระจายตรงบริเวณที่ขั้วไฟฟ้าสัมผัส แต่มักจะหายเองภายใน 2-3 วัน ถ้ามีอาการแสบร้อนตรงผิวขณะทำควรแจ้งให้แพทย์ทราบทันทีเพื่อแก้ไข


ประโยชน์ ลดรอยแผลเป็นจากสิว ลดรอยดำจากแผลทั่วไป ลดรอยดำหลังทำLaser รักษากระ ฝ้า ทำให้ผิวหน้าขาวใส นุ่มเนียน หลังทำ Ionto ใบหน้าเป็นสีชมพูระเรื่อ เนื่องจากกระแสไฟฟ้ากระตุ้นการไหลเวียนของเลือดให้ดีขึ้น สามารถทำได้ทั้ง สุภาพบุรุษ และสุภาพสตรีที่ต้องการมีใบหน้าอ่อนใส สะดุดตา


ที่มา เอสธิกา คลินิก

รักษาสิวด้วยหัวหอม


หัวหอมที่ชอบทานกันนั้น ทราบหรือไม่ว่า สามารถนำมารักษาสิวได้ วันนี้เกร็ดความรู้มีเรื่องนี้มาบอกกัน… ในหัวหอมสดประกอบด้วยน้ำมันหอมระเหย (Vilatile Oil) ซึ่งประกอบด้วยไดอัลลิน ไตรซัลไฟต์ (Diallyn Trisulfide) เช่นเดียวกับที่พบในกระเทียม นอกจากนี้ยังมีฟลาโวนอยด์ (Flavonoid) ไกลโคไซด์ (Glycosides) เพคติน (Pectin) และกลูโคคินิน (Glucokinin) ซึ่งสารเหล่านี้มีคุณสมบัติในการยับยั้งแบคทีเรีย ลดไขมันเส้นเลือดอันเป็นสาเหตุของโรคความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจ ทำให้เจริญหาอาหารและช่วยย่อยอาหาร นอกจากนั้นยังพบอีกว่าในหัวหอมยังมีสารฟอสฟอรัสในปริมาณสูง ซึ่งจะช่วยให้ความจำดีอีกด้วย


ประโยชน์ของหัวหอมนอกจากบำรุงร่างกายแล้วยังรักษาสิวได้อีกด้วย


วิธีทำ คือ ทุบหรือฝานหัวหอมแดงให้เป็นแว่นบาง ๆ ใช้ทาบริเวณที่เป็นสิว ฝ้า หรือ จุดด่างดำ ไม่กี่สัปดาห์ สิว ฝ้า หรือจุดด่างดำ ก็จะหายไป


ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันดูได้.


ที่มาจาก เดลินิวส์


http://women.mthai.com/health/19406.html












วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2554

ช็อกโกแลต ลดความอ้วน



ช็อกโกแลต ลดความอ้วน

หัวข้อนี้น่าจะถูกใจสาวๆ หลายคนเพราะชอบกินช็อกโกแลตแต่ก็กลัวอ้วน เลดี้ทิปได้นำบทความจากหนังสือ “หุ่นดีเพราะกินช็อกโกแลต” มาฝากค่ะ

มีการวิจัยเกี่ยวกับช็อกโกแลตค่ะ การวิจัยนี้ทดสอบโดยอาสาสมัครที่มีสุขภาพดีโดยมีชาย 7 คนหญิง 8 คน และแบ่งเป็นกลุ่ม กลุ่มที่ 1 กิน dark chocolate วันละ 100 กรัม อีกกลุ่มหนึ่งกิน white chocolate 90 กรัม ทุกวันเป็นเวลา 15 วัน

ผลที่ได้คือกลุ่มที่กิน dark chocolate ทุกคนมีความดันโลหิตลดลง และมีความไวต่ออินซูลินซึ่งเป็นตัวสำคัญในการเผาผลาญน้ำตาลมากขึ้น ส่วนกลุ่มที่กิน white chocolate ความดันโลหิตไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

เนื่องจากว่า dark chocolate มีระดับฟลาโวนอยด์ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระมาก ซึ่งเป็นสารเสริมสร้างสุขภาพของหัวใจ ช่วยให้โลหิตไหลเวียนดีขึ้น และยังช่วยลดอาการอุดตันของหลอดเลือดอีกด้วยค่ะ ส่วน white chocolate ถูกตั้งข้อสันนิษฐานว่า นมอาจเป็นตัวที่ขัดขวางการดูดซับฟลาโวนอยด์นั่นเองค่ะ นอกจากนี้ในงานวิจัยยังระบุอีกด้วยว่าควรกิน dark chocolate ในปริมาณเทียบเคียงกับระดับแคลอรี่ที่เราทานในแต่ละวัน โดยที่ dark chocolate 100 กรัมให้พลังงาน 500 แคลอรี่ค่ะ ง่ายๆ ก็ทาน dark chocolate วันละ 100 กรัมก็ได้ค่ะ


ขอบคุณที่มาบทความจาก www.ladytip.com




เคล็ดลับให้ผมยาว เร็วทันใจ

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่อยากจะเร่งวันเร่งคืนให้ผมยาวได้ดั่งใจ นี่คือวิธีการเพิ่มการเจริญเติบโตให้เส้นผมของคุณได้อย่างแข็งแรงและรวดเร็ว

1.เคยนวดศีรษะกันบ้างไหม
Phillip Kingsley เปิดเผยให้ฟังถึงศาสตร์ของการนวดศีรษะว่า การนวดศีรษะจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตบนศีรษะ และทำให้ระบบเมตาโบลิซึ่ม ทำงานได้อย่างเป็นปกติ และยังจะช่วยทำให้เส้นผมเติบโตเร็วขึ้น การนวดศีรษะอาจทำได้ด้วยตัวเองที่บ้านในขณะสระผม โดยการใช้นิ้วมือกดและนวดไปตามจุดบนศีรษะอย่างเบามือ

2.แปรงให้ถูก
หลีกเลี่ยงการทำให้เส้นผมขาดและหลุดร่วงด้วยการไม่หวีผมขณะยังเปียกอยู่ เลือกใช้หวีซี่ใหญ่และห่างในการหวีผมช่วงผมเปียกแทน

3.ตัดผมบ้าง
อาจจะเคยได้ยินมาบ้างว่าการเล็มผมบ่อยๆ จะช่วยให้ผมยาวเร็วขึ้น การเล็มผมนอกจากจะทำให้ผมยาวเร็วขึ้นแล้วถือว่ายังเป็นการกำจัดผมแตกปลายไปในตัวด้วย รู้อย่างนี้แล้วก็หมั่นให้ช่างเล็มผมก็จะดีไม่ใช่น้อย


ที่มาจาก beauty.tkc.go.th

http://women.mthai.com/beautytipandtrick/18665.html







--- ราคาสินค้านูสกินทั้งหมด

--- facebook AeKK




วันอังคารที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2554

ไม่อยากแก่


ไม่อยากแก่ เรามีเคล็ดลับมาบอก


อาจกล่าวได้ว่า เมื่อเวลาเราเห็นใครๆ ที่ดูอ่อนกว่าวัย ย่อมเกิดคำถามตามมาว่า ทำอย่างไรจึงดูดีอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นพ่อ แม่ พี่ น้อง ที่ดูยังไงก็ไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่า เขาเป็นพี่น้อง พ่อลูก หรือแม่ลูกกัน ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญได้แนะวิธีคงความหนุ่มสาว ซึ่งมีทั้งหมด 14 ข้อ ดังนี้


1. แคลอรี่เยอะ เสื่อมเร็ว

การรับประทานอาหารที่ให้แคลอรี่สูงจะทำให้ร่างกายมีการเผาผลาญสารอาหารมาก ก่อให้เกิดสารอนุมูลอิสระในร่างกายเพิ่มมากขึ้น อาหารที่เรารับประทานไม่ว่าจะเป็น โปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต สุดท้ายก็จะถูกย่อยสลายกลายเป็นน้ำตาล ถ้าร่างกายรับแคลอรี่หนักทุกมื้อ ย่อมส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง ๆ ต่ำ ๆ ร่างกายต้องหลั่งสารอินซูลินตลอดเวลาเพื่อนำน้ำตาลไปเก็บไว้ในเซลล์

คนที่มีไลฟ์สไตล์แบบนี้ย่อมเสี่ยงกับการเป็นโรคเบาหวานซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งทำให้แก่เร็ว สมัยก่อนการกินอาหารเน้นแป้งและน้ำตาล รองลงมาคือ โปรตีน ผักผลไม้และไขมัน แต่ถ้าต้องการรับประทานอาหารให้ดีไม่ให้แก่เร็ว ต้องเปลี่ยนใหม่ เพราะสิ่งที่ควรกินมากที่สุดคือ น้ำบริสุทธิ์ 1-2 ลิตรต่อวัน เน้นผักผลไม้ อาหารกลุ่มโปรตีนมีประโยชน์ ไขมันไม่อิ่มตัวกลุ่มโอเมก้า 3,6 และ 9 ส่วนสิ่งที่ควรกินให้น้อยที่สุดคือไขมันอิ่มตัวที่มีอยู่ในแป้งและน้ำตาล

2. กินหลากแหล่ง

เลือกผักออร์แกนิกหรือจากหลากแหล่งผลิต เพราะเราไม่รู้ว่าแหล่งปลูกมีสารปนเปื้อนหรือไม่ วิธีนี้ช่วยลดการสะสมสารบางอย่างในร่างกาย เพราะมีงานวิจัยบ่งชี้ว่า การลดการกินอาหารที่มีสารพิษไม่ให้ผลดีเท่ากับกินอาหารจากหลากแหล่งผลิต

3. ร้อนไปไม่ดี กรอบไปไม่เวิร์ค

หลีกเลี่ยงการกินอาหารที่ผ่านกระบวนการร้อนจัดหรือทอดจนกรุบกรอบ นอกจากจะสูญเสียคุณค่าสารอาหารแล้ว ยังเพิ่มสารก่อมะเร็งมากขึ้นด้วย สู้เปลี่ยนมากินอาหารออร์แกนิกหรือผ่านกรรมวิธีนึ่งหรือต้มจะดีกว่า

4. ลดคาเฟอีน

ปกติร่างกายหลั่งฮอร์โมนไทรอยด์เพื่อกระตุ้นร่างกายให้เผาผลาญนำเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ได้เพียงพอ สร้างความสดชื่นกระปรี้กระเปร่าตามธรรมชาติอยู่แล้ว แต่ถ้าดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนเข้าไปกระตุ้นร่างกายให้หลั่งสารอะดีนาลีนอยู่เป็นประจำ อะดรีนาลินทำงานคล้ายฮอร์โมนไทรอยด์ ทำให้ร่างกายลดการสร้างฮอร์โมนไทรอยด์ไปโดยปริยาย ส่งผลให้ต่อมไทรอยด์เสื่อมเร็วกว่าปกติ

ถ้าเกิดภาวะไทรอยด์ต่ำ ทำให้การเผาผลาญต่ำลง แม้เราจะรับประทานอาหารเท่าเดิม แต่อ้วนง่าย บางคนมีอาการมือเท้าเย็น เวียนศีรษะ ความจำเสื่อม ผิวและผมแห้ง ไขมันในเลือดสูงเสี่ยงต่อโรคหัวใจ เป็นลูกโซ่ไปเรื่อย ๆ

5. ดื่มนมมากไปกระดูกพรุน

ในวัยผู้ใหญ่ไม่มีเอนไซม์ที่ใช้ในการย่อยนม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคนเอเชียมีอุบัติการณ์ Cows Milk Intolerance มากกว่าคนอเมริกาและยุโรป นอกจากนี้ผลการวิจัยล่าสุดในอเมริกาพบว่า คนที่ดื่มนมมาก ๆ มีความเสี่ยงในการเกิดโรคกระดูกพรุนมากกว่า เหตุผลคือ กรดแอมิโนบางอย่างในนมทำให้เลือดเป็นกรด ส่งผลให้เกิดการสูญเสียแคลเซียมและแมกนีเซียมจากกระดูกไปในปัสสาวะ เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนในวัยผู้ใหญ่ ทางที่ดีเลือกทานแคลเซียมจากแหล่งอื่น ๆ เช่น ปลาเล็กปลาน้อย ธัญพืช หรือเต้าหู้จะดีกว่า

6. ดื่มน้ำจากขวดแก้ว

การดื่มน้ำบริสุทธิ์จากขวดแก้วดีกว่าดื่มน้ำจากขวดพลาสติก เพราะสารพิษในพลาสติกละลายปะปนในน้ำตลอดเวลา ทำให้ร่างกายได้รับสารพิษ ก่อให้เกิดความเสื่อมอย่างไม่ต้องสงสัย

7. หน้าแก่เพราะฟิตเกิน

คุณเคยเห็นคนออกกกำลังกายหนักจนหน้าแก่ หรือบางคนฟิตจัด แต่จู่ ๆ เกิดหัวใจวายกะทันหันกลางสนามกีฬาหรือไม่ นั่นเป็นเพราะร่างกายเผาผลาญอาหารเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดสารอนุมูลอิสระมากขึ้นกว่าเดิม เป็นเหตุของความเสื่อมของร่างกาย ดังนั้นการออกกำลังกายแบบแอโรบิกที่เหมาะสมจึงควรอยู่ที่ 30-45 นาทีต่อวัน จากนั้นยกเวทนิดหน่อย ทำ 3-5 ครั้งต่อสัปดาห์ ถือเป็นการออกกำลังกายที่ดี ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป ส่งผลดีต่อร่างกายมากกว่าผลเสีย

8. ดื่มเหล้ามาก จากชายกลายเป็นหญิง

การดื่มเหล้าทำให้เกิดสารอนุมูลอิสระในร่างกาย แถมเหล้าที่ดื่มเข้าไปกลายเป็นน้ำตาลสะสมในรูปไขมัน ถ้าเทียบการได้รับแคลอรี่จากโปรตีน 1 กรัม ให้พลังงาน 4 กิโลแคลอรี่ แต่เหล้าปริมาณเท่ากันให้พลังงานถึง 7 กิโลแคลอรี่ แถมยังทำให้ผู้ชายที่ดื่มจัดรูปร่างเหมือนถังเบียร์ หัวล้าน มีเต้านมเหมือนผู้หญิง นั่นเป็นเพราะเหล้ามีผลต่อตับ ทำให้มีการเปลี่ยนฮอร์โมนจากชายกลายเป็นหญิงมากขึ้น ซึ่งโดยธรรมชาติของฮอร์โมนเพศหญิงใช้ในการเก็บไขมัน คนที่ดื่มหนักจะลงพุงและแก่เร็ว นอกจากนี้ยังทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก ในผู้หญิงที่ดื่มหนักมาก มีผลการวิจัยออกมาแล้วว่า เพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมเช่นเดียวกัน

9. หยุดสูบเสียแต่วันนี้

สูบบุหรี่ 1 มวนกระตุ้นการสร้างสารอนุมูลอิสระเพิ่มขึ้น 1014 ล้านโมเลกุล ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อโรคถุงลมโป่งพองและโรคมะเร็ง

10. หลีกเลี่ยงโลหะหนักและสารปรอท

ในอเมริกาและยุโรปสั่งห้ามใช้อะมัลกัม (Amalgum : ทำมาจากปรอทซึ่งเป็นโลหะหนัก) ในการอุดฟันคนไข้ เพราะพบว่ามีการระเหยปล่อยสารปรอทเข้าสู่ร่างกายตลอดเวลา มีงานวิจัยบ่งชี้ว่าคนเป็นมะเร็งเต้านมและอัลไซเมอร์มีผลส่วนหนึ่งมาจากปรอทและโลหะหนัก ปัจจุบันคนเยอรมันหันมาใช้ เซอร์โคเนียม (เพชรรัสเซีย) ในการอุดฟัน รวมถึงการผลิตข้อเทียม กระดูก และรากฟันเทียมแทน เพราะไม่ทำปฏิกิริยาต่อร่างกาย

11.วางโทรศัพท์มือถือไกลตัว

มีงานวิจัยว่าการใช้โทรศัพท์มือถือซึ่งใช้คลื่นความถี่สูง เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง ถ้าเป็นไปได้ ควรวางโทรศัพท์ไว้ห่างจากร่างกายจะดีกว่า

12.เข้านอนตั้งแต่สี่ทุ่ม

ตั้งแต่ 4 ทุ่มถึงตีสองเป็นช่วงที่ร่างกายผลิตฮอร์โมนเมลาโทนินซึ่งส่งผลให้หลับลึก ทำให้ความจำดี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และทำให้การหลั่งฮอร์โมนอื่น ๆ ในร่างกายสมดุล ขณะเดียวกันช่วงที่ร่างกายหลับลึกส่งผลให้โกร์ทฮอร์โมนหลั่งออกมาเพื่อเสริมสร้างโปรตีนในร่างกาย ได้แก่ คอลลาเจนใต้ผิวหนัง กล้ามเนื้อ และกระดูกให้แข็งแรง ช่วยลดไขมันที่สะสมในร่างกาย ถ้าไม่อยากแก่ อย่านอนดึกจนเกินไป

13. กินวิตามิน

วิตามินบางตัวออกฤทธิ์เป็นสารอนุมูลอิสระ เช่น กลุ่มวิตามินเอ อี ซี ซึ่งเป็นสารที่ร่างกายต้องการตลอดเวลาเพราะสร้างเองไม่ได้ และต้องทำงานเป็นระบบ แต่ละตัวมีคุณสมบัติต่างกัน เช่น วิตามินซีละลายในน้ำ ช่วยปกป้องดีเอ็นเอ ส่วนวิตามินเอ อี โคเอนไซม์คิว 10 ละลายในไขมัน ช่วยปกป้องผนังเซลล์ให้แข็งแรง ถ้ามั่นใจว่าได้รับสารเหล่านี้เพียงพอจากการกินอาหารจะไม่กินวิตามินเสริมก็ได้

แต่ปัญหาก็คือ จะแน่ใจได้อย่างไรว่า อาหารที่กินเข้าไปให้วิตามินเหล่านั้นเพียงพอ เช่น ร่างกายต้องการวิตามินซีวันละ 1,000 มิลลิกรัม เท่ากับส้ม 14 ลูก วิตามินอี 500 IU เท่ากับกินน้ำมันพีนัท 12.5 ช้อนโต๊ะ ซึ่งในชีวิตประจำวันเราไม่มีโอกาสได้รับอย่างครบถ้วน จึงต้องใช้วิตามินเสริมทดแทนสารอาหารที่ร่างกายขาดไป เราจะทราบได้อย่างไรว่าเราขาด ก็ด้วยการตรวจปริมาณสารเหล่านี้ในเลือดว่าเพียงพอหรือไม่ มีความจำเป็นต้องได้รับในปริมาณเท่าไหร่ต่อวันจึงจะเหมาะสมที่สุด

14. เสริมฮอร์โมน

ปกติร่างกายต้องใช้ฮอร์โมนในการทำงาน แต่ผู้หญิงผู้ชายถูกกำหนดไว้แล้วโดยเฉลี่ยเมื่ออายุ 35 ปีขึ้นไป ร่างกายจะเริ่มเข้าสู่ภาวะผลิตฮอร์โมนลดลง เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่พึงประสงค์ เช่น อ่อนเพลีย อารมณ์หงุดหงิด ความจำแย่ลง การเผาผลาญลดลง ร่างกายเปลี่ยนแปลง เช่น ผิวหนังเหี่ยวย่น แห้ง ผมร่วง ตามหลักการของเวชศาสตร์ชะลอวัย หรือ Anti-Aging Medicine นั้น ถ้าไม่มีข้อห้าม สามารถได้รับฮอร์โมนทดแทนเพื่อรักษาสมดุลเหล่านั้นกลับคืนมา แต่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์


ขอบคุณที่มาจาก รพ.กรุงเทพ วิชาการดอทคอม
และ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)




ผิวสวยใส โดยไม่ต้องฉีด กลูตาไธโอน

……..อยากมีผิวสวยใสไม่ต้องไปฉีดกลูตาไธโอนให้เสี่ยงอันตราย เพราะกรดแอมิโนที่ชื่อกลูตาไธโอนนี้ร่างกายเราสร้างเองได้ส่วนหนึ่ง และยังพบอีกมากในผักตระกูลกะหล่ำ (Brassicaceae) ไม่ว่าจะเป็นกะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บร็อกโคลี และคะน้า แถมยังมีในตับสัตว์ด้วย

…….กลูตาไธโอนจะทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ไม่ให้ผิวแก่ก่อนวัย ช่วยในการกำจัดสารพิษ และกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกายให้พร้อมรับมือกับเชื้อโรค นอกจากนี้ยังมีข่าวดีสำหรับสาวๆ เพราะกะหล่ำนั้นอุดมด้วยสารต้านมะเร็งเต้านมค่ะ

…….แต่เพราะผักเหล่านี้มักมีสารพิษตกค้างจากยาฆ่าแมลงจำนวนมาก จึงต้องใส่ใจเรื่องความสะอาดและปรุงสุกก่อนกินจะดีที่สุด สามารถกินได้บ่อยสัปดาห์ละ 3-5 ครั้งเลยล่ะ

ข้อมูล: บางส่วนจากหนังสือ “ถามมา หมอกฤษดาตอบ” สำนักพิมพ์ใกล้หมอ
อ่านเพิ่มเติมใน นิตยสาร Health & Cuisine


http://women.mthai.com/health/71166.html





---- ราคาสินค้านูสกินทั้งหมด



วันศุกร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2554

เครื่องดื่ม จี 3


จี 3

เครื่องดื่ม จี3 เป็นเครื่องดื่มที่รวมผลไม้ 4 ชนิด ได้แก่ ผลแก็ก สับปะรดไซบีเรียน ไชนีสไลเซียม และซีลี่ ซึ่งมีประวัติการใช้เพื่อการดูแลสุขภาพมาเป็นเวลายาวนาน
เครื่องดื่ม จี 3มีรสชาติอร่อย รับประทานง่าย สามารถรับประทานได้ทั้งครอบครัว

ความโดดเด่นของผลไม้ 4 ชนิดในเครื่องดื่มจี 3

-ผลแก็ก มีเบต้าแคโรทีนในปริมาณที่สูงกว่าที่พบในแครอท 10 เท่า และมีไลโคพีนที่สูงกว่าที่พบในมะเขือเทศ 70 เท่า
-ชาวพื้นเมืองใช้เยื่อหุ้มเมล็ดมาผสมกับข้าวเพื่อหุงใช้ในงานมงคล เช่นงานแต่งงาน และใช้เยื่อหุ้มเมล็ดเป็นยาทาเฉพาะที่เพื่อรักษาแผล
-เยื่อหุ้มเมล็ดจากผลแก็ก ถูกนำมาใช้เป็นอาหารบำรุงสำหรับหญิงมีครรภ์ เด็กทารก หรือหญิงให้นมบุตร เพื่อป้องกันและรักษาอาการตาแห้งหรือตบอดกลางคืน
-ไชนีสไลเซียม มีซีแซนทีน ( สารอาหารส่งเสริมสุขภาพดวงตา) ปริมาณสูง
-ซีบัคธอร์น( สับปะรดไซบีเรียน) มีประโยชน์ต่อสุขภาพของหัวใจและหลอดเลือด ส่งผลดีต่อการควบคุมระดับไขมันคอเลส เตอรอลในเลือด
-ซีลี่มีวิตามินซี ในปริมาณที่สูงกว่าส้มถึง 60 เท่า



ทีกรีน 97 ( 30 แคปซูล)

ผลิตภัณฑ์สารสกัดจากชาเขียวให้สารสำคัญ-โพลีฟีนอลในปริมาณ 97%

ส่วนประกอบสำคัญ

ชาเขียวสกัด 250 มิลลิกรัม ( โพลีฟีนอล 97%)



ไบโอกิงโก 27/7

ผลิตภัณฑ์ไบโอกิงโก 27/7 มีส่วนประกอบของสารสกัดจากใบแป๊ะก้วย ที่ให้สารฟลาโวนไกลโคไซด์ 27% และเทอร์ปีนแลคโตน 7%

ส่วนประกอบสำคัญ

-สารสกัดจากใบแป๊ะก้วย 60 มิลลิกรัม ประกอบด้วย
-กิงโก ฟลาโวนไกลโคไซด์ 27%
-และ เทอร์ปีน แลคโตน 7%


ออพติมา โอเมก้า

ออพติมา โอเมก้า เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ให้กรดไขมันโอเมก้า - 3 ที่จำเป็นต่อร่างกาย ได้แก่ อีพีเอ และดีเอชเอ ที่ได้จากปลาทะเลน้ำลึก 4 ชนิด ( ปลาแซลมอน, ปลาซาร์ดีน, ปลาแมคเคอเรล,ปลาแอนโชวี) นอกจากนี้ยังมีส่วนประกอบของกระเทียมสกัด

ส่วนประกอบสำคัญ

ส่วนประกอบสำคัญ
-น้ำมันปลา ( อีพีเอ 150 มิลลิกรัม,ดีเอชเอ 100 มิลลิกรัม)
-กระเทียมสกัด
-วิตามิน อี




มารีนโอเมก้า
มารีนโอเมก้า เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่ให้กรดไขมันโอเมก้า – 3 จากน้ำมันปลาและน้ำมันคริลล์

คริลล์ (ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Euphasia pacifica) เป็นสัตว์ทะเลรูปร่างคล้ายกุ้ง พบในมหาสมุทรแถบฝั่งตะวันตกของเกาะแวนคูเวอร์ แถบรัสเซีย แถบยูเครน แถบแอนตาร์คติกา และญี่ปุ่น

น้ำมันคริลล์ี่มีความโดดเด่นของส่วนประกอบที่มีอีพีเอและดีเอชเอในสัดส่วนสูง มีสารต้านอนุมูลอิสระเช่น วิตามิน เอ อี และแอสทาแซนธิน รวมทั้งมีน้ำมันโอเมก้า – 3 และโอเมก้า – 9 ( กรด โอเลอิค) สัดส่วนของโอเมก้า – 3 ต่อโอเมก้า – 6ที่ได้จากน้ำมันคริลล์มีสัดส่วนที่สูงคือ 15:1 และยังมีสารฟลาโวนอยด์, แคโรทีนอยด์ ที่มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมุลอิสระที่ประสิทธิภาพสูงกว่าวิตามิน อีถึง 550 เท่า




-----------------------------------
คัดลอกรายการสินค้าที่ต้องการ ลงฟอร์มเมลขวามือ ครับ


-จี 3 (2ขวด) 3,875บาท

-ทีกรีน 97 -- 800บาท

-ไบโอกิงโก 27/7 -- 998บาท

-ออพติมา โอเมก้า 713บาท

-มารีนโอเมก้า 1,838บาท


*ค่าส่งทาง EMS 100 บาท

-----------------------------------


----ราคาสินค้านูสกินทั้งหมด



เอเปค กลาเชี่ยล มารีน มัด


เอเปค กลาเชี่ยล มารีน มัด

โคลนพอกผิวหน้าและผิวกายจากส่วนผสมของโคลนใต้ท้องทะเลแปซิฟิคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่นำมาผ่านกระบวนการทำให้เป็นเนื้อเดียวกันภายใต้แรงดันสูง (NEW HIGH - PRESSURE HOMOGENIZATION PROCESS) จึงทำให้ได้เนื้อโคลนที่มีอณูที่เล็กมาก เนื้อโคลนจึงเข้มข้น ละเอียดเนียน เสริมคุณสมบัติในการดูดซับสิ่งสกปรกบนผิวหนังได้อย่างหมดจด และดูดซับความมันส่วนเกินรวมทั้งเซลลืผิวที่ตายแล้วให้หลุดออกจากผิวหนังได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ทำให้เซลล์ผิวระคายเคือง อีกทั้งสารสกัดจากพฤกษาใต้ทะเลให้คุณค่าในการฟื้นฟูสภาพผิว ทำให้ผิวเนียนนุ่มอย่างที่คุณรู้สึกได้

ประโยชน์

1. ดูดซับสิ่งสกปรกและน้ำมันส่วนเกินพร้อมมอบคุณค่าจากแร่ธาตุจากธรรมชาติมากกว่า 30 ชนิดเพื่อประโยชน์ในการบำรุง
2. ทำให้ผิวนุ่ม และสะอาดหมดจด ช่วยขจัดสิ่งสกปรก เซลล์ผิวที่ตายแล้ว และสารพิษออกจากผิว


วิธีใช้

หลังล้างหน้า ซับหน้าให้แห้ง พอกเนื้อโคลนให้ทั่วใบหน้าและลำคอ ยกเว้นรอบตาและรอบปาก ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที หรือจนหว่าเนื้อโคลนจะแห้งสนิท คือเปลี่ยนเป็นสีเขียวอ่อน จากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาด ใช้สัปดาห์ละ 1 - 3 ครั้ง ตามสภาพผิว



เอเปค ® ไอซ์แดนเซอร์ อินวิกอเรติ้ง เลกเจล

การเดินมากๆ การวิ่งนานๆ หรือการเล่นกีฬาย่อมทำให้เกิดอาการเมื่อยล้าขาได้ เอเปค ไอซ์แดนเซอร์ อินวิกอเรติ้ง เจล จึงถือกำเนิดขึ้น

ไอซ์แดนเซอร์ อินวิกอเรติ้ง เจล อุดมด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ คือ สารสกัดจากใบมินท์ (Mentha Arvensis) ช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดและให้ความรู้สึกเย็นสบาย (ชาวพื้นเมืองแอฟริกาใต้ใช้เพื่อลดอาการเจ็บปวด) ฮอร์ส เชสท์- นัท (Horse Chestnut) สกัดจากพืชตระกูลถั่วชนิดหนึ่ง ช่วยผ่อนคลายความเมื่อยล้าของขา ยูคาลิปตัส (Eucalyptus) ให้ความรู้สึกเย็นสบาย และ น้ำมันเปปเปอร์ มินท์ (Peppermint Oil) ให้กลิ่นหอมสดชื่น เย็นสบาย และผ่อนคลายผิวที่อ่อนล้า

ประโยชน์

1. ช่วยบรรเทาอาการเมื่อยล้า และอาการปวดขา สารสกัดจากฮอสเชสนัทช่วยกระตุ้นให้ขาที่เหนื่อยล้า ฟื้นตัวได้เร็ว
2. เจลซึมได้รวดเร็ว สามารถทาได้แม้จะใส่ถุงน่องอยู่ ไม่ทิ้งคราบ ปราศจากแอลกอออล์




เอเปค คาล์มมิ่ง ทัช

(**ไม่ผลิตแล้ว)

ในธรรมชาติพืชที่มีคุณสมบัติในการเยียวยามักเติบโตอยู่ข้างๆ พืชมีพิษที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองแก่ผิวเมื่อสัมผัส Jewelweed เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของธรรมชาติบำบัดนี้ Jewelweed จะเติบโตอยู่ข้างๆ ต้น poison ivy พืชมีพิษที่ก่อให้เกิดอาการแดง แสบ และคันบนผิวเมื่อสัมผัสซึ่งอาการเหล่านี้สามารถบรรเทาลงได้ด้วยพืชสวยงามต้นเล็กๆ มีดอกสีเหลือง ที่เกิดอยู่ข้างๆ ต้น poison ivy ซึ่งก็คือ Jewelweed นั่นเอง ชาวอเมริกันพี้นเมืองได้นำคุณค่าของ Jewelweed มาใช้ในการบรรเทาผิวจากอาการระคายเคืองทุกรูปแบบตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

เอเปค คาล์มมิ่ง ทัช ผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดในกลุ่มเอเปค มีประสิทธิภาพช่วยบรรเทาอาการระคายเคืองให้กับผิว โดยผสานคุณค่าของ Jewelweed และ Yarrow พืชธรรมชาติอีกชนิดหนึ่งที่ ใช้กันอย่างแพร่หลายโดยชาวกรีกโบราณและชาวอเมริกันพื้นเมืองเพื่อลดอาการระคายเคืองของผิว ให้ผิวรู้สึกผ่อนคลายและกลับมีสุขภาพดีอีกครั้ง

ประโยชน์

1. ช่วยบรรเทาอาการคัน รอยแดง และผิวที่เป็นสะเก็ด สำหรับผู้ที่มีผิวแห้งมาก
2. ช่วยบรรเทาอาการแดงของผิวอันเนื่องมากจากการตอบสนองของผิวต่ออาหารรสจัด แอลกอฮอล์ หรือแม้กระทั่งรอยแดงที่เกิดจากความเครียด
3. บรรเทาอาการระคายเคือง อันเนื่องมากจากแมลงกัดต่อย แดดเผา หรือการสัมผัสกับพืชบางชนิด
4. ปลอดภัยต่อทุกสภาพผิวแม้ผู้ที่มีอาการ eczema* หรือ rosacea**




เอเปค โซล โซลูชั่น

ผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาเฉพาะเพื่อการดูแลผิวเท้าโดยมีคุณสมบัติที่เป็นมากกว่ามอยซ์เจอร์ไรเซอร์โดยทั่วไป ด้วยส่วนผสมจากออลสไปซ์ เบอร์รี่ (Crushed Allspice Berry) ปราศจากส่วนผสมของน้ำหอม ที่ตรงเข้าฟื้นฟูผิวบริเวณ ส้นเท้า ฝ่าเท้าและนิ้วเท้า ได้อย่างมีประสิทธิภาพจนสามารถสังเกตถึงการเปลี่ยนแปลงของผิวเท้าที่ดีขึ้นได้ภายใน 2-3 สัปดาห์หลังการใช้


ประโยชน์

• ฟื้นฟูส้นเท้า ,นิ้วเท้า และฝ่าเท้า ที่แห้ง แตก และมีริ้วรอย ให้ดูมีสุขภาพดี
• เห็นผลการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ 2-3 สัปดาห์แรก ที่เริ่มใช้ (ขึ้นอยู่กับปัญหาของแต่ละบุคคล)
• ช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออกไปอย่างอ่อนโยน เหลือไว้แต่ผิวที่นุ่มและเรียบเนียน
• ไม่มีส่วนผสมจากน้ำหอม มีเพียงกลิ่นหอมจากธรรมชาติของออลสไปซ์ เบอร์รี่




เอเปค ® ไฟเออร์วอล์คเกอร์ มอยซ์เจอร์ไรซิ่ง ฟุต ครีม

ครีมบำรุงที่ช่วยคลายความเมื่อยล้า เติมความชุ่มชื้นให้กับเท้าและยังบำรุงรักษาเท้าให้นุ่มนวลด้วยส่วนประกอบสำคัญคือ คอร์ดิลายน์ เทอมินาริส (ฮาวายเอี้ยน ติ) ช่วยบรรเทาอาการเมื่อยล้าที่เท้า และ น้ำมันบาบาสสุ (Babassu Oil) ช่วยบำรุงเท้าให้นุ่มนวลอยู่เสมอ

ประโยชน์

• ให้ความชุ่มชื้นกับผิวที่แห้ง แข็งด้าน ทำให้ผิวนุ่มนวล
• ลดการเมื่อยล้า ปวดเมื่อยขา


--- ข้อมูลเพิ่มเติมของหมวดนี้


---------------------------------
คัดลอกรายการสินค้าที่ต้องการ ลงฟอร์มเมล์ด้านขวมมือ ครับ


--เอเปค กลาเชี่ยล มารีน มัด 1,253 บาท

--เอเปค ® ไอซ์แดนเซอร์ อินวิกอเรติ้ง เลกเจล 497 บาท

--เอเปค โซล โซลูชั่น 875 บาท

--เอเปค ® ไฟเออร์วอล์คเกอร์ มอยซ์เจอร์ไรซิ่ง ฟุต ครีม 497 บาท

--เอเปค คาล์มมิ่ง ทัช xxx บาท


*ค่าจัดส่งสินค้าด้วย EMS 100 บาท

---------------------------------